วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2552

พระเจ้าอวยพร! (whom God has blessed!)

เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา นั่งฟังเรื่องของโยเซฟ กับ มารี ที่นิวซอง
นึกถึงความรู้สึกของทั้ง 2 คน ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง
นึกถึงแรงกดดัน และความยากลำบากที่พวกเขาทั้งคู่อาจต้องเผชิญ

หลายคนเข้าใจว่า พระพรของพระเจ้า
หมายถึง ความราบรื่น ดูดี ร่ำรวย มีลูกหลานผลผลิตล้นหลาม
แต่ในอีกด้านหนึ่งซึ่งเขียนไว้ในพระคัมภีร์
แต่เรามักไม่ค่อยได้พูดถึงกัน
นั่นคือ ทุกสิ่งมีวาระ และเวลาของมัน
ทั้งอุปสรรค ปัญหา สถานการณ์ไม่เป็นใจ ความยากจน การขาดแคลน
และอีกมากมาย
เหล่านี้ล้วนเป็นพระคุณและพระพรของพระเจ้าทั้งสิ้น
ตราบเท่าที่เราเป็นประชากรของพระองค์

พระเจ้าอวยพรเรา เพราะเราเป็นลูกของพระเจ้า
ไม่ใช่ว่า
เพราะเรา "ทำ" อย่างที่พระเจ้าบอกไว้
แต่บุตรที่รู้จักบิดา เห็นบิดาทำอย่างไร
บุตรก็จะทำอย่างนั้น

ผมนึกถึงความยากลำบากที่เผชิญอยู่
นึกถึงบางคำพูดที่มีคนเคยพยายามจะบอกให้ผมเชื่อว่า
เพราะผมทำตัวไม่ดี พระเจ้าจึงไม่อวยพร
(ดังนั้น จงทำตัวให้(ดู)ดีซะ)

ผมนึกถึงรุ่นพี่คนหนึ่งที่รักกันมาก
เขาเคยเป็นผู้นำในคริสตจักรที่ผมเคยอยู่
เขาถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัย
เพราะการทุ่มเทให้กับสิ่งที่ เราถูกสอนให้เชื่อว่านั่นคือการรับใช้
นั่นทำให้เขาไม่เห็นด้วยกับนโยบายบางเรื่อง
พี่คนนี้ไม่ได้รับการโปรโมต และ ถูกลดตำแหน่งในที่สุด
เขาถูกมองว่าเป็นคนหลงหาย เป็นคนมีปัญหาความคิด
ถูกลงวินัยจากคริสตจักร
บทเรียนทุกเรื่องที่ผมเรียนกับพี่เขา
โดยเฉพาะที่เขาเขียนเอง ถูกห้ามไม่ให้เอาไปสอนต่อ
ทั้งที่บางเรื่อง จนทุกวันนี้ ผมยังไม่เห็นใครจะทำได้ดีเท่า

หลายปีผ่านไป
เขาไปอเมริกา หาทางจนได้ทุนเรียนต่อปริญญาเอก
เขาช่วยหลายคนให้ได้รู้จักพระเจ้า
เขาเป็นทีมบุกเบิกของการตั้งคริสตจักรที่นั่น

วันที่เขากลับมาเยี่ยมกรุงเทพ เขาแวะไปที่โบสถ์
เขาอยากเจอน้องๆที่เขาเคยดูแล
วันนั้น ศิษยาภิบาล กล่าวชื่นชมเขาบนเวที บอกว่า
พระเจ้าอวยพรเขามาก
หลังจากนั้น ใครต่อใครต่าง "อวย" เขาในทันที
ทั้งที่ ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา คนเหล่านี้บางคน
มีบางคนที่ยังพูดถึงเขาในทางไม่ดีอยู่เลย

เมื่อเร็วๆนี้ มีอีกคนหนึ่งโชว์ โครงการ ที่กำลังเริ่มต้นขึ้น
(หลังจากใช้เวลาเตรียมความพร้อมอยู่นาน)
มีคนเข้าไป "อวย" เกือบร้อยคน แต่เท่าที่ผมเห็น
มีเพียงพี่คนเมื่อกี้เพียงคนเดียว ที่กล่าวเรื่องจริงเตือนใจว่า
ชีวิตของคนคนนี้จะเปลี่ยนไป...

เวลาที่เราต้องทำอะไรในสิ่งที่เราเชื่อ
แม้มันจะดูขัดแย้งกับความคิดเห็น
ตรรกะ เหตุผล ความสมเหตุสมผล
ประสบการณ์ในอดีต
ขนบธรรมเนียม ประเพณี ค่านิยม
นโยบาย หรือแม้แต่กฎหมายของมนุษย์

นอกจากต้องตรวจสอบกับความจริง ความสมจริง และความจริงใจแล้ว
พึงตระหนักไว้เลยว่า ไม่มากก็น้อยที่เราจะต้องเจอกับแรงเสียดทาน
อาจเป็นทางกาย ทางจิตใจ ทางความคิด ทางจิตวิญญาณ
ทั้งในขณะที่รู้ตัว และไม่รู้สึกตัว

แต่หากเรามั่นใจแล้วว่า
เรากำลังรักพระเจ้า
เรากำลังทำตามความจริงของพระเจ้าที่มีอยู่ในพระคัมภีร์
เรากำลังทำตามเสียงที่อยู่ภายใน
เรากำลังใช้ชีวิตสอดคล้องกับพระเจ้าที่เรารู้จัก
ทีสำคัญ เราไตร่ตรองแล้วว่า
เราจะกล้าบอกพระเจ้าในวันสุดท้ายว่า ทำดีกว่านี้ไม่ได้แล้ว

แม้จะมีความกลัวและหวาดหวั่น (ซึ่งเป็นเรื่องปกติของขั้นตอนในการเติบโต)
แต่
จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด
เพราะพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเรา

จงรู้จักพระเจ้า
พระองค์เป็นพระเจ้าผู้ทรงเริ่มต้นสิ่งดีไว้ในชีวิตเราแล้ว
พระองค์จะเป็นผู้ทำให้เราเติบโต (ด้วยวิธีการของพระองค์ อย่างเฉพาะตัวสำหรับเรา)
พระองค์จะเป็นผู้นำพาเราไปถึงความสำเร็จ
(แต่หากมนุษย์อย่างเราเริ่มเอง ก็ไม่ต้องแปลกใจว่ามันจะพังทลายลงไป)

พระองค์จะไม่ละทิ้งเรา
ไม่มีใครหรือสิ่งใดเลย สามารถตัดขาดแยกเราออกจากพระเจ้าได้
แม้แต่ตัวเราเอง

จงรู้จักพระเจ้า แล้วความเชื่อของท่านจะเพิ่มพูนขึ้น
แล้วจะเกิดความปีติยินดีแก่จิตวิญญาณของท่าน


บุคคลผู้ใดต้องถูกข่มเหงเพราะเหตุความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าอาณาจักรแห่งสวรรค์เป็นของเขา
เมื่อเขาจะติเตียนข่มเหงและนินทาว่าร้ายท่านทั้งหลายเป็นความเท็จเพราะเรา ท่านก็เป็นสุข
จงชื่นชมยินดีอย่างเหลือล้น เพราะว่าบำเหน็จของท่านมีบริบูรณ์ในสวรรค์ เพราะเขาได้ข่มเหงผู้พยากรณ์ทั้งหลายที่อยู่ก่อนท่านเหมือนกัน
มัธธิว 5:10-12

แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้แก่ท่าน
มัธธิว 6:33

วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2552

อยากหายดีหรือเปล่า (ยน.5:1-15)

หลังจากพระเยซูพำนักอยู่ที่แคว้นกาลิลีช่วงหนึ่ง (นานเท่าไหร่ก็ไม่รู้) พระองค์ก็เสด็จกลับไปยังเยรูซาเล็มอีกครั้ง เพื่อร่วมงานเทศกาลเฉลิมฉลองของชาวยิว

จริงๆแล้ว พระคัมภีร์ไม่ได้ระบุชัดเจนว่า เป็นงานเทศกาลอะไร และไม่มีการอ้างอิงถึงเหตุการณ์นี้อีกเลยด้วย แต่เป็นไปได้ว่า น่าจะเป็น 1 ใน 3 เทศกาลหลักซึ่งโดยปกติ ผู้ชายชาวยิวทุกคนควรจะต้องเดินทางไปเข้าร่วม คือ เทศกาลปัสกา เทศกาลฉลองการเก็บเกี่ยว หรือ เทศกาลอยู่เพิง

ในพระธรรมยอห์น ได้ระบุเอาไว้ชัดเจนว่า หลังจากพระเยซูเริ่มกระทำพระราชกิจ ทรงปรากฎตัวที่เยรูซาเล็มในเทศกาลปัสกา อย่างน้อย 3 ครั้ง (บทที่2, 6, 11) ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น พระเยซูจะใช้เวลาในการทำพระราชกิจระหว่าง 2 ถึง 3 ปี บนโลกนี้
แต่หากว่า งานเทศกาลที่กล่าวถึงตรงนี้ คือ เทศกาลปัสกาครั้งที่ 4 ก็จะกลายเป็นว่า ทรงใช้เวลากระทำพระราชกิจระหว่าง 3 ถึง 4 ปี แทน ดังนั้น คำพูดที่บอกว่า พระเยซูใช้เวลากระทำพระราชกิจบนโลก 3ปีครึ่ง จึงอาจไม่ถูกต้องก็ได้ และโดยส่วนตัว ผมคิดว่า เรื่องระยะเวลาการทำพระราชกิจของพระเยซู ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องให้ความสำคัญมากนักในเชิงการดำเนินชีวิต (โดยเฉพาะ เพื่อเป็นเครื่องมือในการปลุกเร้าให้ผู้เชื่อเร่งรีบรับใช้พระเจ้า ดั่งเช่นที่พระเยซูทรงทำมาแล้ว) นอกเสียจากในเชิงประวัติศาสตร์พระคัมภีร์

ก่อนเข้าไปในเขตกำแพงเมือง ใกล้ๆ ประตูแกะ มีสระน้ำอยู่สระหนึ่ง ในภาษาอาลาเมค เรียกว่า เบธซาธา ซึ่งไวยากรณ์ในภาษาเดิมใช้เป็นปัจจุบันไม่ใช่อดีต แสดงให้เห็นว่า ขณะที่ยอห์นเขียนพระคัมภีร์นี้ ยังมีสระน้ำอยู่ เป็นหลักฐานสนับสนุนอีกจุดหนึ่งว่า พระธรรมนี้เขียนขึ้นในช่วงก่อนที่กรุงเยรูซาเล็มจะถูกทำลาย

สระเบธซาธา มีลักษณะโดดเด่น คือ เป็นสระน้ำคู่ มีทางเดินสูงล้อมอยู่ 5 ด้าน ไม่ใช่ศาลา 5 หลัง อย่างที่หลายคนอาจเข้าใจกัน ที่นี่จะเต็มไปด้วยคนเจ็บป่วยไม่สบายจำนวนมาก ส่วนใหญ่จะเป็นคนตาบอด พิการ หรือ อัมพาต พวกเขาเชื่อว่า บางเวลาจะมีทูตสวรรค์มาทำให้น้ำกระเพื่อม ใครก็ตามที่เป็นคนแรกที่ลงไปในน้ำได้ คนนั้นจะหายดีจากการเจ็บป่วยที่เป็นอยู่

พระเยซูเดินเข้าไปในบริเวณสระน้ำ ทรงเห็นชายคนหนึ่งนอนเจ็บอยู่ (ไม่รู้ว่าป่วยเป็นอะไรเหมือนกัน พระคัมภีร์บอกแค่ว่า ไม่สบาย) เมื่อพระองค์รู้ว่าคนนี้ไม่สบายมานานถึง 38 ปีแล้ว ก็ทรงถามเขาว่า "อยากหายดีหรือเปล่า" แต่ชายคนนั้นกลับตอบพระเยซูว่า เป็นเพราะเขาไม่มีคนช่วยพาไปที่สระเมื่อน้ำกระเพื่อม แม้เขาจะพยายามด้วยตัวเขาเอง แต่คนอื่นก็ไปถึงก่อนหน้าแล้ว

ปกติเราเห็นแต่ภาพที่คนเจ็บมาร้องขอให้พระเยซูรักษา แต่ครั้งนี้พระเยซูกลับถามเสียเอง ชายคนนั้นอาจจะรู้สึกท้อแท้ใจ และคงทำใจแล้วว่าตัวเองคงไม่มีทางหาย อาจจะนอนรอความตายอยู่ก็ได้ เขาพยายามแล้วพยายามอีกที่จะทำในสิ่งที่เขาเชื่อ เพื่อให้ได้ในสิ่งที่เขาต้องการ... ฟังๆแล้ว ก็ไม่ต่างจากคนปกติอย่างพวกเราเท่าไหร่ เพียงแต่เรามีแรง และเรายังไปไม่ถึงจุดที่ "สิ้นหวัง" เราจึงยังทุ่มเทพยายามต่อไป ตามวิถีทางที่เราเชื่อ อาจจะต้องรอถึงเกือบ 40 ปี เราถึงจะหมดแรงและสิ้นหวัง ถึงเวลานั้น พระเจ้าคงมาเยี่ยมเยียนเรา คำถามนี้ อาจเป็นคำถามธรรมดาๆ ที่พระเยซูต้องการกระตุ้นให้เขามีความปรารถนา มีความหวังว่าจะหายดีอีกครั้ง

อย่างน่าอัศจรรย์ พระเยซูทรงรักษาเขาให้หายดีแม้เขาไม่รู้จักว่าพระองค์เป็นใคร พระองค์บอกให้เขาลุกขึ้น เก็บที่นอนแล้วเดินออกไปซะ แม้โดยปกติ การมีความเชื่อในพระเยซูจะเป็นสิ่งจำเป็นในการได้รับการรักษา แต่นี่แสดงให้เห็นว่า ฤทธานุภาพของพระเยซูทรงมีอย่างไม่จำกัด พระองค์ไม่ทรงถูกจำกัดด้วยความเชื่ออันจำกัดของเรา

ตอนแรกชายคนนั้นไม่รู้ว่า คนที่รักษาเขาเป็นใคร แต่เขาได้มีโอกาสเจอพระเยซูอีกครั้งในพระวิหาร และเขาได้รู้จักกับพระเยซูที่นี่ พระองค์บอกเขาว่า เขาหายดีแล้ว ให้หยุดทำบาป มิเช่นนั้นจะเกิดสิ่งที่แย่กว่ากับชีวิต

จริงที่ว่า ค่าจ้างของความบาปคือความตาย ผลที่ได้รับจากการทำบาป แย่ยิ่งกว่าการนอนเจ็บป่วยอยู่เกือบ 40 ปี เพราะเป็นผลนิรันดร์ แต่เราอาจจะไม่ต้องรอจนถึงหลังความตายก็ได้ บางครั้ง เมื่อเรารับการช่วยกู้จากพระเจ้าแล้ว เราก็เผลอลืมตัวไปตามความคุ้นเคยในการทำบาป หลงคิดไปว่าพระเจ้าทรงอภัยเราแล้ว ทรงอวยพรเราแล้ว มันจะไม่เป็นไร แต่พระเจ้าไม่เพียงทรงพระคุณ พระองค์ทรงยุติธรรมด้วย

พระเจ้า ทรงเปี่ยมด้วยความรักและพระคุณ แม้ในยามที่เราสิ้นหวัง หมดเรี่ยวแรง ยอมแพ้และขาดความเชื่อ พระเจ้าทรงช่วยเราได้อย่างอัศจรรย์ด้วยพระทัยกรุณาของพระองค์ แต่ พระคุณของพระเจ้านั้นมุ่งหวังให้เรากลับใจใหม่ หาก "พระคุณ" ใช้ไม่ได้ผล พระเจ้าอาจต้องใช้ "พระเดช" ตามสมควรกับที่เราควรได้รับ เพื่อให้เรากลับใจใหม่ในที่สุด

แต่จะด้วยวิธีการใดก็ตาม เชื่อเถอะว่าจุดเริ่มต้น คือพระองค์ทรงเมตตาสงสารเรา...
ประโยคแรกที่พระเยซูทรงตรัสถามชายคนนั้น วันนี้ อาจทรงกำลังถามเราด้วยก็ได้...

"อยากหายดีหรือเปล่าล่ะ?"

วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2552

หมายสำคัญการอัศจรรย์ครั้งที่ 2 (ยน.4:43-54)

หลังจากพระเยซูเสด็จออกจากแคว้นสะมาเรียเข้าไปยังแคว้นกาลิลี ที่ซึ่งครั้งหนึ่งพระองค์สั่งสอนเขา แต่พวกเขาพากันประหลาดใจด้วยรู้ว่าพระองค์เป็นลูกเต้าเหล่าใคร ครั้งนั้นพระองค์ตรัสกับเขาว่า ผู้เผยพระวจนะจะไม่ได้รับเกียรติในบ้านเมืองและวงศ์ตระกูลของตน แล้วพระองค์ก็ไม่ได้ทำการอัศจรรย์ เพราะเขาไม่มีความเชื่อ (มธ.13:53-58) แต่ครั้งนี้ชาวกาลิลีกลับต้อนรับพระองค์ด้วยความยินดี เพราะได้เคยเห็นการอัศจรรย์หลายอย่างที่พระองค์ทำในเทศกาลปัสกา ณ กรุงเยรูซาเล็ม

พระองค์เสด็จไปยังหมู่บ้านคานา ซึ่งพระองค์เคยทำการอัศจรรย์ครั้งแรกที่นี่ ด้วยการเปลี่ยนน้ำสำหรับใช้ล้างเท้าให้เป็นน้ำองุ่นชั้นดี ครั้งนี้พระองค์ได้พบกับข้าราชการของกษัตริย์เฮโรดคนหนึ่ง ซึ่งเดินทางมาจากเมืองคาเปอนาอุม เพื่อเชิญพระเยซูเสด็จไปรักษาลูกชายของเขาที่ป่วยหนักใกล้ตาย

พระองค์บอกข้าราชการคนนี้ว่า คนกาลิลีเหล่านี้ หากไม่ได้เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์ก็จะไม่มีทางเชื่อได้เลย เหมือนจะเป็นการบอกเขาว่าให้มีความเชื่อ แม้จะยังไม่เห็นการอัศจรรย์ใดๆก็ตาม หรืออาจจะกำลังบอกเขาว่า ถ้าเจ้ามีความเชื่อในนามของเรา เจ้าก็จะเห็นการอัศจรรย์ โรคก็จะหาย ลูกเจ้าจะไม่ตาย เจ้าไม่จำเป็นต้องมาที่นี่ หรือเราไม่จำเป็นต้องไปบ้านเจ้าก็ได้
แต่ข้าราชการคนนั้นอาจจะยังไม่เก็ต และกังวลในอาการของลูกชาย จึงเร่งเร้าพระเยซูอีกครั้ง

พระเยซูจึงบอกว่าลูกเขาจะมีชีวิตอยู่ และให้เขากลับบ้านไป
ข้าราชการคนนั้นก็รับคำของพระเยซูแล้วเดินทางกลับบ้าน ระหว่างทางพบกับคนรับใช้แจ้งข่าวว่าลูกเขาหายดีแล้ว โดยหายดีเวลาเดียวกับที่พระเยซูบอกว่าลูกเขาจะมีชีวิตอยู่

บางทีเขาอาจจะตระหนักในเวลานั้นนั่นเองว่า แท้จริงแล้ว พระเยซูไม่ได้พูดในเชิงพยากรณ์ว่าลูกเขาจะยังมีชีวิตอยู่ แต่พระองค์ตรัสสั่งด้วยสิทธิอำนาจของพระองค์ ให้ลูกชายของเขาหายเจ็บและมีชีวิตอยู่ต่อไป นี่คงเป็นเหตุให้ทั้งตัวข้าราชการและครอบครัวเชื่อวางใจในพระเยซู

การรักษาโรคบุตรชายข้าราชการของกษัตริย์เฮโรดครั้งนี้ เป็นการอัศจรรย์ครั้งที่ 2 ของพระเยซู แต่ไม่ใช่ครั้งที่ 2 ในพระราชกิจของพระเยซูอย่างที่หลายคนเข้าใจ (ครั้งแรกคือ เปลี่ยนน้ำเป็นน้ำองุ่นหมัก ที่หมู่บ้านคานา) เพราะตอนที่พระองค์อยู่ที่เยรูซาเล็ม พระองค์ก็กระทำการอัศจรรย์หลายครั้ง (ยน.2:23)
แท้จริงแล้ว การอัศจรรย์ครั้งนี้เป็นการอัศจรรย์ครั้งที่ 2 ของการเดินทาง บนเส้นทางจากแคว้นยูเดียผ่านแคว้นสะมาเรียไปแคว้นกาลิลีนั่นเอง

วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2552

2 วันในแคว้นสะมาเรีย (ยน.4:1-42)

พระคัมภีร์เริ่มต้นด้วยว่า เมื่อพระเยซูรู้ว่า พวกฟาริสีได้ิยินว่าพระองค์มีสาวกเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ พระองค์ก็เสด็จออกจากแคว้นยูเดีย เพื่อขึ้นไปยังแคว้นกาลิลีที่อยู่ทางเหนือ (สงสัยพระเยซู คงรำคาญพวกนี้นะ วันๆไม่ทำอะไร เอาแต่ซุบซิบ สนใจเรื่องชาวบ้าน)
ปกติชาวยิวทั่วไป จะข้ามแม่น้ำจอร์แดนมาเดินทางฝั่งตะวันออก เพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าไปในถิ่นของชาวสะมาเรีย ซึ่งเป็นแคว้นที่อยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน และเป็นทางผ่านระหว่างยูเดียกับกาลิลี แต่พระเยซูจงใจเดินตรงไปเข้าไปในแคว้นสะมาเรียเลยครับ

ช่วงเที่ยงๆ พระเยซูนั่งพักเหนื่อยอยู่ริมบ่อน้ำ ปกติชาวบ้านจะมาตักน้ำกันช่วงเย็นๆ แต่เที่ยงวันนี้ มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาตักน้ำ (ท่าทางจะไม่อยากเจอหน้าผู้คนเท่าไหร่) พระเยซูเปิดฉากขอน้ำจากหญิงนั้นดื่ม สร้างความงุนงงให้กับสาวเจ้าอย่างมาก เพราะตามธรรมเนียมยิว น้ำจากภาชนะของสะมาเรียน ถือเป็นของมลทิน

คุยกันอยู่พักนึง พระเยซูชวนให้หญิงนั้นได้ดื่มน้ำแห่งชีวิต แต่หญิงสะมาเรียนก็ยังสนใจแต่น้ำดื่มที่จะดับความกระหายของเธอได้ แม้เธอจะเอ่ยปากขอน้ำนั้นด้วยความเข้าใจผิดแล้วก็ตาม

เมื่อถูกร้องขอ พระเยซูทรงเปิดบ่อน้ำพุแห่งชีวิตของหญิงนั้นทันที ทรงเปลี่ยนเรื่องพูด แล้วตามมาด้วยถ้อยคำที่ดูจะสบประมาทเธออย่างรุนแรง "ไปเรียกสามีเจ้ามาที่นี่สิ" "ถูกแล้วที่เจ้าว่าเจ้าไม่มีสามี ความจริงก็คือ เจ้ามีสามีมา 5 คนแล้ว และผู้ชายที่เจ้าอยู่ด้วยตอนนี้ ก็ไม่ใช่สามีของเจ้า"
โดยตามธรรมเนียมยิวแล้ว ผู้หญิงจะหย่าได้ 2 ครั้ง อย่างมากก็ไม่เกิน 3 ดังนั้น ถ้าสะมาเรียนใช้ธรรมเนียมเดียวกัน หญิงคนนี้ก็ประพฤตินอกธรรมเนียม เป็นไปได้ว่า เธอไม่ได้แต่งงานกับผู้ชายคนปัจจุบันที่เธออยู่ด้วย

ดูท่าทาง สาวเจ้าจะรู้สึกไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่ แม้จะยอมรับในความ "เหนือ" ของพระเยซู ว่าพระองค์เป็นผู้เผยพระวจนะ แต่นางก็เริ่มโต้ตอบเบี่ยงเบนประเด็นออกจากเรื่องสามีของนาง... นางเถียงเรื่อง สถานที่ในการนมัสการ

พระเยซูเลยโชว์เหนือของแท้ บอกว่า แม้สะมาเรียนจะนมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้ แต่รู้จักพระเจ้าที่ตัวเองนมัสการอยู่น้อยเหลือเกิน และนับจากนี้ไป ผู้ที่นมัสการจริงๆ จะต้องรู้จักพระเจ้าที่ตัวเองนมัสการอยู่ พระเจ้าปรารถนาเช่นนั้น พระองค์เป็นพระวิญญาณ ผู้ที่นมัสการพระองค์จึงต้องนมัสการ (หรือดำเนินชีวิต) ในพระวิญญาณ และในความจริง (ซึ่งก็คือตัวพระเยซูเอง) มันไม่ใช่เรื่องของสถานที่ว่าเรานมัสการที่ไหน แต่อยู่ที่ไหนเราก็นมัสการพระเจ้าพระบิดาได้ ตราบที่เราอยู่ในพระเยซู...

แต่หญิงสะมาเรียนยังไม่ยอมแพ้และพยายามจะปิดการสนทนานี้เสีย (คงจะรำคาญพระเยซูเต็มทน) เธอบอกว่า เธอรู้อยู่แล้วว่าเมื่อพระผู้ช่วยเสด็จมา พระองค์จะอธิบายเรื่องเหล่านี้ (เพราะด้วยความที่สะมาเรียนส่วนใหญ่รู้พระคัมภีร์น้อย จึงมักคิดว่าพระคริสต์จะมีลักษณะคล้ายๆ ผู้ที่รู้และเข้าใจสิ่งต่างๆอย่างดี) ท่าทางเธอจะปรามๆ พระเยซูอยู่บ้างว่าอย่ามาทำอวดรู้

พระเยซู (คงยิ้มๆ) จึงสรุปเรื่องทั้งหมดว่า คนที่กำลังพูดกับเธออยู่นี่แหล่ะคือคนนั้น

พอดีกับที่เหล่าสาวกของพระเยซูกลับมา ต่างก็ตะลึงไปตามๆกัน เพราะธรรมเนียมสมัยนั้น อาจารย์สอนศาสนาของยิวยากที่จะพูดคุยกับหญิงสาวในที่สาธารณะ

หญิงสะมาเรียนก็คงตกใจไม่แพ้กัน ทิ้งเหยือกน้ำเธอไว้วิ่งกลับไปที่ตัวเมือง หน้าตาเธอคงตื่นๆ พอสมควร เธอเล่าให้ชาวเมืองฟังว่ามีคนที่บอกสิ่งที่เธอเคยทำไว้ได้ทุกอย่าง "ลองไปดูซิ คนนั้นจะเป็นพระคริสต์ได้ไหม" แม้เธอจะไม่ได้คาดคั้นให้ชาวเมืองยอมรับ แต่ตัวเธอเองก็ไม่อาจปฎิเสธได้

คนในเมืองนั้นหลายคนก็ได้เชื่อวางใจในพระเยซู เนื่องจากคำพยานของหญิงนั้น เมื่อพวกเขาไปพบพระเยซู ก็ได้ขอให้พระองค์พักอยู่กับเขา พระองค์ได้ทรงสอนชาวเมืองอีกหลายสิ่ง ทำให้อีกหลายคนที่ได้กลับใจเชื่อวางใจในพระเยซู

คนในเมืองบอกหญิงสะมาเรียนว่า ความเชื่อของพวกเขาไม่ได้อยู่บนสิ่งที่หญิงนั้นพูดอีกต่อไป แต่เพราะเขาสิ่งที่พวกเขาได้ยินจากพระเยซู และรู้ว่าแท้จริงแล้ว พระองค์คือพระผู้ช่วยให้รอดของโลกนี้ พวกเขารู้แล้วว่า พระเยซูไม่ได้มาเพียงเพื่อสอน แต่มาเพื่อ "ช่วย" และไม่เพียงช่วยคนรู้น้อย ด้อยค่าทางสังคมเช่นพวกเขา แต่ทรงช่วยมนุษย์หมดสิ้นทั้งโลก

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในระยะเวลาสองวัน หลังจากนั้น พระเยซูก็ทรงเสด็จเดินทางต่อไปยังแคว้นกาลิลี...

วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2552

อิสราเอลแท้

มองย้อนกลับไปช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา เห็นพระเจ้าทรงทำงานในชีวิตของผมผ่านน้องคนหนึ่งอย่างมากจริงๆ
จากเพียงเสียดสี เริ่มเป็นขัดเกลา เริ่มเป็นกระเทาะ ล่าสุดเริ่มพัฒนาไปสู่การเจาะลึก
มีหลายอย่างในชีวิต ที่ต้องกล้ำกลืนยอมรับว่าเราไม่ชัดเจนจริงๆ เราไม่รู้จริงๆ หรือแม้กระทั่ง เราเชื่อมาผิดๆ
หลายต่อหลายอย่างที่ชีวิตถูกโปรแกรมไว้ด้วยวิธีความคิดมนุษย์ แล้วเคลือบฟิล์มอย่างดีด้วยคำว่า พระคัมภีร์

แม้กระทั่ง ความรู้สึกและจิตสำนึก ก็ยังกลายเป็นผลผลิตของความคิด นับว่าอันตรายจริงๆ ไม่น่าแปลกใจ เวลาที่ผ่านมาถึงรู้สึกเสมอๆ ว่าตัวเองแค่ไปได้ใกล้ๆความจริง แต่ไม่เคยไปถึงเสียที

มันต่างกันมาก ระหว่างการยอมรับว่า เราเป็นคนบาป และการที่เราคิดว่า เรา(ควร)ยอมรับว่า เราเป็นคนบาป
ความคิดเป็นผลผลิตของสมอง เกิดจากกระบวนการคิดของมนุษย์
ไม่ได้บอกว่า คริสเีตียนไม่ต้องใช้ความคิด แต่แค่จะบอกว่า ต้องใช้ให้สมดุลย์

ข้อสรุปของผม ก็คือ ผมกลับมาเริ่มต้นอ่านพระคัมภีร์อีกครั้ง ค่อยๆอ่าน ไม่เน้นอ่านเร็วหรืออ่านเยอะ ตั้งใจว่าจะอ่านรอบเดียวแต่ขอเน้นๆ ไปช้าๆ แต่ให้ชัวร์

ประเดิมด้วย พระธรรมยอห์น ก็ให้เจอเรื่องใหม่ๆ หลายอย่าง ตั้งแต่บทที่ 1 เช่น
ข้อ 5 ความสว่างส่องเข้ามาในความมืด และความมืดหาได้ชนะความสว่างไม่... ถ้าให้ดีน่าจะแปลว่า และความมืดหาได้รู้จักความสว่างไม่ ซึ่งน่าจะสอดคล้องกับข้อ 10-11 มากกว่า ผมเข้าใจว่า ความสว่างกับความมืดก็อยู่ด้วยกันแหล่ะ แต่ความมืดไม่รู้จัก ไม่เข้าใจความสว่างเท่านั้นเอง
หรือเรื่องที่พระเยซูรับบัพติศมา อ่านมาตั้งนานเพิ่งจะเข้าใจว่า ยอห์นก็ไม่รู้ว่าใครคือพระเมสสิฮาห์ รู้แต่ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะมาเจิมคนนั้น พอยอห์นเห็นพระวิญญาณลงมาประทับพระเยซู ถึงรู้ว่าคนนี้แหล่ะตัวจริง
โดนใจสุด คงเป็นเรื่องของ นาธานาเอล (ชื่อเขาแปลว่า พระเจ้าประทานให้ หรือ ของขวัญจากพระเจ้า) ตอนฟิลิปไปชวน เขาพูดโพล่งขึ้นมาว่าจะมีสิ่งดีออกมาจากนาซาเร็ธหรือ แต่พระเจ้ากลับเรียกเขาว่า อิสราเอลแท้ ผมเข้าใจว่าเพราะเขาพูดตรงไปตรงมา ในใจเขาไม่มีอบาย ไม่ลับลมคมใน เขาไม่ได้เป็นอิสราเอลแท้ เพราะเชื้อสาย แต่เพราะความเชื่อของเขา

ไม่ง่ายเท่าไหร่เลย ที่จะเป็นคนอย่างนั้น เป็นคนที่มีจิตใจซื่อตรงกับพระเจ้า แต่ก็จะเริ่มต้นนะครับ

วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

to honour You...

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ไปร่วมงาน Pray & Worship Party by Newsong Bangkok
หลังจากอิ่มหมีพีมันแล้ว ระหว่างนมัสการ เพื่อนเราคนนึงที่ร้องเพลงอยู่บอกว่า ที่เราร้องเพลงว่า ขอถวายเกียรติแด่พระเจ้าในทุกสิ่งที่เราทำน่ะ เราทำอย่างนั้นจริงๆหรือเปล่า หรือแค่ร้องเป็นเพลงเท่านั้น ให้เราได้สำรวจชีวิตของเราด้วยกัน...

ซึ่งก่อนหน้านั้น เพลงหนึ่งที่เราร้อง มีประโยคหนึ่งที่บอกว่า You are the humble King...

ผมตระหนักมากขึ้นว่า มนุษย์อย่างเราๆ ไม่อาจพูดได้ว่า I'm good ดั่งเช่นที่พระเจ้าบอกเราว่า พระองค์นั้นดี
ความดีของเรานั้น ไม่ได้ขึ้นกับ การตะเกียกตะกาย ของเราในการ พยายาม ทำหรือไม่ทำสิ่งใด ให้ไปถึงพระองค์ หรือเป็นเหมือนพระองค์ได้ ต่อให้เราพยายามมากขนาดไหน เราก็ทำไม่ได้ เราไม่สามารถดีพร้อมจนปราศจากข้อตำหนิได้

ไม่ใช่การพยายามเหยียดตัวเองให้สูงขึ้น แต่คือการหยุด และยอมรับการช่วยเหลือด้วยความรัก และพระเมตตาของพระองค์
เพราะแท้จริงแล้ว พระเจ้าได้ทรงน้อมตัวเองลงมาหามนุษย์อย่างเราแล้ว พระองค์ได้ทรงมาเพื่อช่วยเราให้เป็นคนดีแล้ว

ดังนั้น คริสเตียน จึงไม่จำเป็นต้องพยายามทำดี หรือพยายามเป็นคนดี
เราไม่สามารถพยายามเป็นใครที่เราเป็นอยู่แล้วได้

การถวายเกียรติพระเจ้า จึงไม่ใช่การทำอะไร "เยอะๆ" เพื่อเชิดชูพระองค์ แต่เป็นการสะท้อนและส่งผ่าน "ชีวิตของพระองค์" ที่เราได้รับมาจากพระเจ้า เป็นการดำเนินชีวิตประจำวันปกติที่แตกต่างจากโลก

แตกต่าง... ไม่ใช่เพราะเราทำต่าง แต่เพราะตัวเราที่ต่าง
แน่นอน เพราะสิ่งที่เราเป็น ไม่ใช่เป็นของโลกนี้ หลายสิ่งที่เราทำจึงต่างจากโลกนี้โดยปริยาย
แต่ก็นั่นแหล่ะนะ สิ่งที่เราเป็นต่างหากที่สำคัญ

ขอพระเจ้าช่วยให้เรา...
หยุด ตะเกียกตะกายดิ้นรนพยายามเพื่อพระเจ้า
ยอม จำนนต่อความจริงและพระประสงค์ของพระเจ้า
รับ พระคุณและการช่วยเหลือจากพระเจ้า
รู้ ตัวเราเองเป็นใคร และพระเจ้าคือใคร
รัก พระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ กำลัง และความคิด

ให้เราได้มีประสบการณ์ส่วนตัว ในการถวายเกียรติแก่พระเจ้าในทุกสิ่งที่ทำ
และให้เราได้รู้จักความยินดี ที่พระองค์ประทานให้ เนื่องจากเราดำเนินชีวิตถวายเกียรติแด่พระบิดาของเรา

เอเมน เอเมน

วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ศิลามุมเอก

ศิลามุมเอก เป็นก้อนหินที่แข็งมาก แข็งจนเกินกว่าช่างก่อจะเอามาสกัดให้เป็นรูปร่างตามต้องการ เพื่อใช้ในการก่อสร้างได้
เพราะความแข็งเกินไปในสายตาของช่างก่อสร้างนี้แหล่ะ หินก้อนนี้จึงถูกทิ้งขว้าง

มองอีกมุมหนึ่ง หินแต่ละก้อนมีลักษณะที่แตกต่างกัน ไม่ใช่ทุกก้อนจะสามารถนำมาสกัดเพื่อใช้ก่อผนังได้ทั้งหมด
เปรียบเหมือนคนที่แตกต่างกัน
สำหรับคนบางคน คงยากไปที่จะหยิบเขามาก่อเป็นกำแพงของคริสตจักร

อาจเนื่องด้วยว่า เขาแข็งแรงเกินกว่าจะทำหน้าที่เป็นส่วนหนึ่งของกำแพง
อาจเพราะพระเจ้ามีพระประสงค์อันดี สร้างให้เขาแข็งแรง ให้เขาทนทาน เพื่อเขาจะทำหน้าที่เป็นผู้คำ้ยันกำแพงพระวิหาร
หากไม่มีศิลามุมเอก วิหารก็ไม่แข็งแรง และง่ายต่อการพังทลาย

ช่างก่อที่ไม่ยอมรับความจริง ยังดึงดันจะใช้ศิลาแบบนี้มาก่อผนังให้ได้
ยังคงพยายาม "สกัด" ทุกวิถีทาง เพื่อให้ได้ก้อนหินรูปร่างดั่งใจ
แม้จะทุ่มเทแรงทั้งตัวล้มทับเพื่อให้ศิลานั้นแตก ก็คงมีแต่ตัวเขาเองที่เจ็บตัว อาจถึงขั้นกระดูกหักได้ทีเดียว

กระนั้นก็ยังคงดีกว่า เพราะหาก ศิลาแบบนี้ตกทับผู้ใด คงไม่ใช่แค่เจ็บตัวเท่านั้น
พระคัมภีร์บอกว่า ถึงขั้นแหลกละเอียดกันเลยทีเดียว

แต่พระเยซูก็บอกเราไว้ด้วยแหล่ะนะ เมื่อวิหารที่สร้างด้วยมือมนุษย์พังลง พระองค์จะก่อขึ้นใหม่ภายใน 3 วัน...
ก่อขึ้นด้วยพระคุณของพระองค์ ณ ไม้กางเขนนั้น

เอ... วันนี้ ชีวิตของเราเป็นวิหารแบบไหนกัน สร้างด้วยน้ำมือมนุษย์ หรือถูกก่อขึ้นด้วยพระคุณของพระเจ้า

วันเสาร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

พระคุณพระเจ้า

ช่วงนี้อ่านพระธรรมลูกาอยู่ อ่านแล้วได้เห็นมุมมองใหม่ๆอะไรบางอย่าง เกี่ยวกับ "พระคุณของพระเจ้า" เลยนำมาแบ่งปันกัน

ลก.15
(1-7) แกะ ไม่เพียงเป็นสัตว์เลี้ยงพื้นฐานตามบริบทยิวสมัยนั้น (เหมือนการเลี้ยงควายในบ้านเรา) แกะเป็นสัตว์เศรษฐกิจ เป็นทรัพย์สินลงทุน และเป็นสิ่งหนึ่งในการแสดง ฐานะ ทางสังคม

(8-10) เงิน เป็นเครื่องยังชีพจำเป็นกับชีวิตประจำวัน แกะหายยังอยู่ได้ แต่เงินหายนี่อยู่ลำบาก พื้นฐานเรื่องทางกายภาพจะได้รับการกระเทือนไปหมด คล้ายๆกับ เวลาไม่มีเงิน แล้วเจอเหรียญสิบซักเหรียญบนพื้น ความรู้สึกจะคล้ายๆอย่างนั้น

(11-32) แต่กับหัวอกพ่อแม่ ลูกเป็นดั่งแก้วตาดวงใจ ยิ่งกว่าทรัพย์สินเงินทองมากนัก การได้ลูกกลับมาอยู่ด้วยกัน หลังจากที่ไม่ได้ยินข่าวคราว หรืออาจจะต้องเตรียมใจว่าลูกอาจตายไปแล้ว ความเปรมปรีดิ์จะมากล้นพ้นกว่าการได้แกะ ได้เงิน กลับคืนมาซักเท่าใด

สมบัติหาย เงินหาย ลูกหาย หากได้กลับมา มนุษย์ยังยินดี แต่หากมนุษย์ได้กลับสู่อ้อมอกของพระบิดาในสวรรค์ ชาวสวรรค์คงร่วมปรีดากับพระเจ้าอย่างล้นหลามทีเดียว
-----------------------------------------

ลก.16
(1-13) เมื่อมีคนร้องเรียนความผิด นายก็ไต่สวน แต่ระหว่างไต่สวนก็ไม่ให้ทำหน้าที่แล้ว คนต้นเรือน ก็ยังใช้ความฉลาดแบบโลก ใช้สมบัติของโลก เพื่อสำแดงพระคุณกับคนในโลก เพื่อให้เขายังสามารถดำเนินชีวิตอยู่ในโลกนี้ได้ แต่พระเยซูไปไกลกว่านั้น คือ ให้เราใช้สมบัติของโลก (อย่าไปใช้คำว่า สมบัติอธรรมนะครับ คงไม่ใช่่แค่งงและสับสนกับความหมาย แต่ยังจะอายเขาด้วย) ในการสำแดงพระคุณนำคนเข้าอาณาจักรสวรรค์

(19-31) พระเจ้าเองก็ปรารถนาให้เราสำแดงพระคุณต่อกัน ดั่งกรณีเศรษฐีและลาซารัส พระองค์ตรัสและสำแดงผ่านผู้เผยพระวจนะมาตลอด แต่เศรษฐีไม่เห็นความจำเป็น ครั้นเมื่อตายไป พระเจ้าก็ยังคงมีเมตตาเขาอยู่ แต่เขาเองก็ต้องรับผล ตามระบบความยุติธรรมของพระเจ้า ถึงเวลานั้น แม้พระเจ้ายังปรารถนาให้พระคุณกับเขาเหมือนเดิม แต่เขาเองกลับรับไม่ได้เสียแล้ว แม้เขาเองก็ปรารถนาจะรับพระคุณนั้นด้วยเช่นกัน
-----------------------------------------

ลก.17
(1-6) ถ้าใครทำผิดต่อเรา และเขากลับใจแล้ว มีพระคุณต่อเขา ให้อภัยเขาดีกว่า แม้จะผิดซ้ำผิดซาก แต่หากเขาบอกว่า "ฉันกลับใจแล้ว" ก็ต้องให้อภัยเขา พระเยซูเตือนแล้ว "จงระวังให้ดี" พระองค์คงรู้ว่า มันคงยากที่เราจะเชื่อ และง่ายที่จะตัดสิน ง่ายที่จะเผลอลืมให้พระคุณกับคนอื่นเปล่าๆง่ายๆ เหมือนที่เราได้รับมา

(7-10) แต่ถึงกระนั้น ก็ต้องแยกให้ชัดว่า อะไรคือ "พระคุณ" อะไรคือ "หน้าที่" จะมาอ้างว่า เป็นการประพฤติที่กอปรด้วยพระคุณไม่ได้ หากสิ่งนั้นสมควรประพฤติเนื่องจากเป็นหน้าที่ตามบทบาทของเรา

(11-19) หัวใจของการขอบคุณ จึงไม่ได้เกิดจาก "ความรู้" ว่าต้องทำอะไรเป็นการขอบคุณ แต่เกิดจาก "ความซาบซึ้ง" ในพระคุณ ซึ่งจะแสดงออกเป็นการกระทำที่บางครั้ง อาจดูแปลกตา ประหลาดใจผู้คนอยู่บ้าง
-----------------------------------------

สุดท้าย กับ ศักเคียส ใน ลก.19 ซึ่งน่าจะเป็นคนที่ดังมากในหมู่พี่น้องโบสถ์ความหวัง(เดิม) เพราะทุกคนที่ถูกสอนเรื่อง การกลับใจใหม่ มักไม่พ้นต้องพูดถึงคนๆนี้

(5) ผมถูกสอนว่า พระเยซูทรงรู้จักศักเคียสก่อน จึงเรียกชื่อเขาถูก แต่เป็นไปได้ไหม เนื่องจากศักเคียสเป็นคนดัง(2) และพฤติกรรมของเขาก็เด่นตา (ปีนขึ้นต้นมะเดื่อ) คนรอบข้างที่เห็นก็พูดถึงเขา พระเยซู อาจจะได้ยินชื่อเขาจากฝูงชนก็ได้
แต่สิ่งสำคัญ คือ พระองค์ทรงเห็นว่า ศักเคียส อยากเห็น อยากรู้จักพระองค์ พระองค์จึงทรงสำแดง "พระกรุณา" กับเขา ในการเข้าไปพักที่บ้านของเขา

(8) ผมถูกสอนว่า ศักเคียส ได้แสดงออกให้เห็นว่า เขากลับใจจริงๆ พระเยซูจึงพูดว่า(9) "วันนี้ความรอดมาถึงครอบครัวนี้แล้ว" แต่หากถอยกลับขึ้นไปอ่านข้างบน(7) เป็นไปได้ไหมว่า เสียงบ่นของคนทั้งหลายนั้นดังมากจนเข้าหูของศักเคียส เขาคงเกิดความละอายใจ สำนึกได้ และเกิดความตระหนักถึงความไม่สมควร ที่พระเยซูจะมาประทับกับเขา ให้เสื่อมเสียพระเกียรติ

ผมถูกสอนว่า ศักเคียสกลับใจอยู่ก่อนแล้ว จึงแสวงหา(3-4) และยินดี(6) อีกทั้ง ประกาศความตั้งใจอย่างชัดเจน(8) ในการดำเนินชีวิต ให้เราเอาเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตว่ากลับใจใหม่จริง แต่วันนี้ ผมกลับคิดอีกแบบหนึ่ง ผมคิดว่า ศักเคียส ไม่ได้กลับใจอยู่ก่อนแล้ว(2) การบอกอาชีพและฐานะของเขาในพระคัมภีร์ ชี้ให้เห็นโดยนัยว่า (ครับ ผมตีความเอง) ศักเคียสเป็นคนบาปแน่ ซึ่งยืนยันได้จากสายตาของคนทั้งหลาย(7) ความยินดีของศักเคียส(6) เป็นความยินดีตามวิสัยของคนทั่วไป ที่ได้หน้าเมื่อคนดังมาพักกับตน หรืออาจเป็นไปได้ที่เขาจะได้คุยกับคนดัง ผมคิดว่า แรกเริ่ม ศักเคียสไม่ได้มองว่า พระเยซูเป็นใคร มากไปกว่าคนมีชื่อเสียงที่ประชาชนพูดถึงมากคนหนึ่งเท่านั้น

การกลับใจใหม่ของศักเคียส จึงน่าจะเกิดขึ้นหลังจากที่เขาได้ยินคนทั้งหลายบ่นว่า พระเยซูมาพักกับคนบาป แล้วเขาได้แสดงออกถึงท่าทีในการกลับใจใหม่นั้นด้วยคำพูดว่าเขาจะทำอะไร(8) เพื่อให้สมกับพระเกียรติของพระเจ้า ซึ่งพระเยซูเองก็ได้ชมเชยเขา และยืนยันว่าเขากลับใจแท้ ได้รับความรอดแล้ว(9-10)

ประเด็น คือ พระเยซูทรงสำแดงพระคุณ กับผู้ที่ไม่สมควรได้รับ ส่งผลให้ บุคคลนั้น เกิดความละอาย สำนึกได้ แล้วนำไปสู่การกลับใจใหม่จากจิตใจและความคิดของเขาเอง จน "คิดได้" ว่าตนสมควรทำสิ่งใดเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้าผู้ทรงมีพระคุณกับเรา

นอกจากนี้ ผมยังถูกสอนด้วยว่า แม้มีเส้นทางเข้าเยรูซาเล็มได้หลายทาง แต่พระเยซูทรงรู้ล่วงหน้าว่าจะมาพบศักเคียส (ด้วยว่าพระองค์เป็นพระเจ้าผู้ทรงสัพพัญญู) จึงเลือกเส้นทางผ่านเมืองเยรีโค... แค่สงสัยเฉยๆว่า ความคิดนี้ เป็นการช่วยเสริมความเป็นพระเจ้าให้กับพระเยซู มากกว่าที่พระคัมภีร์บรรยายไว้หรือไม่ แม้จะเป็นไปได้ แต่ไม่มีพระคัมภีร์กล่าวไว้ชัดๆ เป็นการเติมช่องว่างของเหตุการณ์ให้เต็มด้วยอคติแห่งความคิดที่หวังดีของเราหรือเปล่า แล้วถ้าอย่างนั้น... จะมีเรื่องอื่นๆอีกไหมที่เป็นแบบนี้ ซึ่งทำด้วยความหวังดีแต่ขาดความเข้าใจที่จริงแท้

ขอพระเจ้าทรงโปรดสำแดงพระคุณให้ตัวผมเองและเราทุกคนได้เห็นพระเยซูคริสต์อย่างถูกต้อง ผู้เป็นความจริงของพระเจ้าซึ่งโปรดสำแดงไว้แล้วในพระคัมภีร์ มากขึ้นทุกวันต่อวันด้วยเถิด เอเมน

วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2552

อาหาร...เป็นพิษ

เด็กน้อยคนหนึ่งใช้ส้อมจิ้มอาหารเข้าปาก เขากินและกลืนลงท้องด้วยความเอร็ดอร่อย เด็กคนนั้นไม่ทันได้สังเกตุเห็นสิ่งซึ่งข้าพเจ้าเห็น นั่นคือ ปลายของส้อมนั้นหักไปซี่หนึ่ง พระเจ้าให้ความเข้าใจแก่ข้าพเจ้าว่า มันหักคาอยู่ในอาหารชิ้นนั้น เด็กน้อยคนนั้นไม่รู้ว่าตัวเองได้เผลอกินสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกายของเขาพร้อมอาหารเสียแล้ว

หลังจากนั้น เด็กคนนั้นก็ไม่สบาย หนักมากจนเกือบจะตาย...

ข้าพเจ้าได้รับความเข้าใจ ดังนี้ว่า

ส้อม เป็นอุปกรณ์ในการนำพาอาหารเข้าสู่ร่างกาย เพื่อบำรุงเลี้ยงชีวิตให้เจริญเติบโต ชีวิตมิอาจเติบโตได้หากปราศจากอาหาร ส้อมถูกสร้างเพื่อใช้เป็นอุปกรณ์ มิใช่เพื่อเป็นอาหาร ส้อมมีคุณประโยชน์ เป็นอุปกรณ์ที่ดี แต่ก็มิใช่อาหาร ไม่มีประโยชน์ต่อชีวิตโดยตรง หนำซ้ำจะยังนำมาซึ่งพิษภัยอีกด้วย หากกินเข้าไป

หากเรามิได้สังเกต มิได้พินิจพิเคราะห์ เราอาจเข้าใจว่าความเจ็บป่วยนั้นเกิดจากอาหารเป็นพิษ แต่ความจริง อาจมีมากกว่าสิ่งที่ตามองเห็น พิษร้ายที่เป็นผลเสียทำลายร่างกาย อาจเกิดจากอุปกรณ์ที่เห็นว่าเป็นคุณ แต่ถูกเผลอไผลกินเข้าไปเสมือนเป็นอาหาร

หากครั้งนี้รอดตาย แล้วยังมีครั้งหน้าให้ท้องเสียไม่สบาย ลองนึกตรึกตรองพิจารณาให้ดี ว่าสาเหตุที่แท้จริงของความเจ็บป่วยคืออะไรกันแน่ เพราะเผลอกินสิ่งที่ไม่ควรกิน เพราะหลงเข้าใจผิดกินสิ่งที่กินไม่ได้ว่ากินได้ หรือจะสรุปง่ายๆตื้นๆเหมือนเดิมว่าเป็นเพราะอาหาร...เป็นพิษ

วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2552

ลมบน

วันนี้พระเจ้ามาหนุนใจในกลุ่ม

ก่อนกลุ่ม นั่งรถเมล์มา รถติด ร้อนๆ แล้วก็หลับ
ตื่นมา รู้สึกตัวเองได้ว่า ป่วยเสียแล้ว หมดเรี่ยวหมดแรงกันซะอย่างนั้น

มาถึงกลุ่ม ก็ไม่เห็นใคร แถมหย่อนก้นนั่งลงแล้ว ถึงรู้ว่าคนที่นำอธิษฐาน นมัสการ ก็ไม่สบาย มาไม่ไหว
ก็ตัดสินใจนำแทนนะ แต่สภาพนี่แย่สุดๆเลย

พระเจ้ามาหนุนใจ ผ่านคำเผยพระวจนะ

ชีวิตคนเราก็เหมือนการเล่นว่าว กว่าจะพาให้ไปขึ้นติดลมบนได้ ไม่ง่าย ต้องเหนื่อย ต้องทุ่มเท ต้องพยายาม
แต่เมื่อติดลมบนแล้ว พระเจ้าจะเป็นดั่งลมบน เป็นผู้ที่พาชีวิตของเราลอยทะยานไปยังที่ต่างๆอย่างมีเสถียรภาพ

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันศุกร์ มีอธิษฐานรวมในโซน ก็เห็นเป็นภาพของคนที่อยู่ในหลุมลึก ที่คนนั้นคิดว่าตัวเองไม่สามารถปีนขึ้นมาได้ แต่พระเจ้าก็หนุนใจให้ พยายาม ให้ลงมือทำ พระเจ้าจะช่วยในส่วนที่เกินความคิดความเข้าใจ และความสามารถของมนุษย์เอง

อีกนิดเดียว สู้ๆ พยายามหน่อย อึดหน่อย ใกล้จะติดลมบนของพระเจ้าแล้ว เอเมน เอเมน

อธิษฐานด้วยความเชื่ออย่างเกิดผล

ครั้งหนึ่ง ดร. พอล ยองกี โช ผู้รับใช้ของพระเจ้าที่มีชื่อเสียงในประเทศเกาหลี ได้อธิษฐานกับพระเจ้า ร้องทูลถึงความลำบากยากจนข้นแค้นของชีวิตของท่านต่อพระเจ้า และได้ร้องทูลขอ โต๊ะ เก้าอี้ และจักรยาน จากพระเจ้า ผ่านไปหกเดือนท่านยังคงรักษาความเชื่อ แต่พระเจ้าก็ยังมิได้ทรงตอบคำอธิษฐานของท่าน วันหนึ่ง ท่านรู้สึกท้อแท้ใจและได้อธิษฐานกับพระเจ้า ในค่ำคืนนั้น พระเจ้าทรงมาเยี่ยมเยียนท่าน และสอนท่านให้อธิษฐานขอสิ่งที่ต้องการให้ชัดเจนเจาะจงลงไป เมื่อท่านขอใหม่ ท่านเกิดความมั่นใจว่าได้รับแล้ว ท่านได้แบ่งปันให้สมาชิกคริสตจักรฟังเหมือนว่ามันเกิดขึ้นแล้ว แม้ยังมองไม่เห็น

ดร.ยองกี กล่าวว่า เหมือนกับสตรีตั้งครรภ์ ทารกของนางนั้นมีจริง เพียงแต่ยังไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตา เมื่อถึงครบกำหนดเวลาก็จะคลอดออกมา เราจึงจะเห็นได้ เช่นกันกับการอธิษฐานขอกับพระเจ้า ด้วยความเชื่อที่ชัดเจนเจาะจงในสิ่งที่ขอ และมั่นใจว่าได้รับแล้วนั้น สิ่งที่ขอนั้น พระเจ้าทรงประทานให้แล้ว เมื่อถึงเวลา สิ่งนั้นก็จะปรากฏชัดให้เห็นกับตา เป็นที่ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าอย่างแน่นอน

วิธีการอธิษฐานด้วยความเชื่ออย่างเกิดผล
1. สร้างเป้าหมายให้ชัดเจน
- สร้างเป้าหมายทางจินตนาการให้ชัดเจน เห็นเป็นภาพในจิตใจในทุกรายละเอียด
- พระเจ้าจะไม่ตอบคำอธิษฐานที่เลื่อนลอย
- พระเจ้าทรงกระทำงานของพระองค์ ผ่านความคิด ผ่านความเชื่อของเรา

2. มีใจปรารถนาอย่างแรงกล้า
- สภษ.10:24 ...แต่สิ่งใดที่คนชอบธรรมปรารถนา พระองค์ทรงประสาทให้
- สดด.37:4 4 จงปีติยินดีในพระเจ้า และพระองค์จะประทานตามใจปรารถนาของท่าน
- พระเจ้าไม่ต้องการลักษณะอุ่นๆหรือเรื่อยๆเฉื่อยๆ พระองค์เป็นพระเจ้าที่ชำนาญในทางเร่งร้อน
3. ขอหลักฐาน ขอความมั่นใจ
- ขอพระเจ้าประทานสิ่งยืนยัน ให้เป็นความแน่ใจ เป็นหลักฐานค้ำประกันว่าจะสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้
- ตั้งใจอธิษฐานจนกระทั่งได้รับการยืนยันจากพระเจ้า เกิดความมั่นใจภายในจิตใจว่าพระเจ้าทรงประทานสิ่งนั้นใหแล้ว และมันจะคลอดออกมาเมื่อถึงเวลาที่กำหนด
4. ใช้ถ้อยคำ
- แสดงความเชื่อให้ปรากฏทางถ้อยคำ ในคำพูด ในคำอธิษฐาน
- การอัศจรรย์จะไม่เกิดขึ้น จากความพยายามอันไร้ความรู้ความเข้าใจในพระวจนะคำของพระเจ้า
- เรามีกฎเกณฑ์สำหรับปฏิบัติตนในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณ และมีแหล่งทรัพยากรไม่รู้จบในใจเรา
- พระเจ้าสถิตอยู่ในเรา และทรงร่วมมือกับเราในการกระทำสิ่งต่างๆให้สำเร็จ
- พระเจ้ามั่นคงแน่นอนไม่เปลี่ยนแปลง ทรงเคยร่วมมือกับโมเสส โยชูวา และบุคคลต่างๆมาแล้วอย่างไร ก็ยังทรงร่วมมืออยู่อย่างนั้น
- แต่หากตัวบุคคลในยุคสมัยนี้ ยังไม่ยอมเปลี่ยนวิถีความคิด ก็อย่าหวังเลยที่จะเห็นพระเจ้าทรงสำแดงพระองค์เองแก่ผู้นั้น ดั่งเช่นที่พระองค์เคยได้ทรงกระทำมาแล้ว
- สิ่งใดที่เติบโตขึ้นในความคิดและจิตใจของท่าน สิ่งนั้นจะปรากฏเป็นจริงออกมาสู่ชีวิตความเป็นอยู่ของท่าน ดังนั้น ควรสังเกตความคิดและจิตใจของท่านให้ดี อย่าพยายามหาคำตอบจากพระเจ้าผ่านทางบุคคลอื่น เพราะคำตอบของพระเจ้าจะผ่านทางจิตวิญญาณของท่านเอง ไม่ใช่คนอื่น

จงเรียนรู้ที่จะฟูมฟักความเชื่อ เพื่อให้ความเชื่อของเราใช้การได้ ดังนั้นแล้ว สิ่งสารพัดซึ่งท่านอธิษฐานขอด้วยความเชื่อ ท่านจะได้ (มัทธิว 21:22)

(เรียบเรียงจากส่วนหนึ่งของ “มิติที่สี่ นำชีวิตไปสู่ความสำเร็จ” พอล ยองกี โช)

ปล. ช่วงนี้ กำลังกระตุ้นคนในโซนให้ร่วมกันอธิษฐาน ทางผน.อยากได้บทเรียนไปใช้แบ่งปันในกลุ่ม ก็มอบหมายให้ผมเขียน ไหนๆก็เขียนแล้ว ขอเอามาลงไว้ด้วยละกัน

วันจันทร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2552

อนิจจัง อนิจจัง อนิจจัง

ตั้งแต่ 6โมงเช้าวันอาทิตย์ ผมเริ่มต้นอดอาหารอธิษฐาน ตั้งใจว่าจะอดตลอดช่วงวันหยุดสงกรานต์ รวมๆแล้วก็ไม่กี่วันเอง
อดอาหารอธิษฐานมาได้ 34 ชม. ไม่มีน้ำหรืออาหารตกถึงท้อง นอกจาก อธ.กับอ่านพระคัมภีร์ และฟุบหลับ... (อนาถจิตดีแท้)

จริงๆก่อนหน้านี้ ผมตั้งใจว่า ช่วงสงกรานต์จะเป็นช่วงเคลียร์งาน มีหลายๆอย่างที่ผมอยากจะคิดลงรายละเอียดเพื่อนำเสนอคจ. เเต่ก็มีวาระแทรกจากความหวังดีและห่วงใยของผู้นำที่รักยิ่งของเรา

มาถึงจุดหนึ่งที่ต้องยอมรับว่า ผมหูอื้อ ตาลาย หน้ามืด อธ.ต่อไปก็มึนแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องคิดงาน ไอ้ครั้นจะดื่มน้ำเสียหน่อย ก็รู้สึกฟ้องผิดกับสิ่งที่ตั้งใจไว้ แต่ครั้งจะอดอาหารอธ.ต่อ ก็รู้สึกว่าเป็นการดันทุรัง และมีอาการรักษาหน้ากับพระเจ้ามากกว่าจะรักษาใจกับพระองค์ หากแม้นอดอาหารต่อไป พระเจ้าก็ดูเหมือนจะไม่พอพระทัยเสียด้วยซ้ำ ดูเป็นการทรมานร่างกาย เหมือนตอนที่เจ้าชายสิททัตถะทรมานตนยังไงก็ไม่รู้สิ

ผมหวนระลึกถึงบางเรื่องขึ้นมาได้...

ผม...เคยมีอาการอย่างนี้ครั้งหนึ่งแล้วนี่นา หากเล่าให้หลายคนฟัง เขาคงรู้สึกเลื่อมใส ที่ผมสามารถอดอาหารอธ.ได้ยาวนาน แต่ครั้งนั้น ผมเรียนรู้ว่า ผมได้ฝืนทำในสิ่งที่ไม่เป็นตัวเอง ฝืนใจพระเจ้า แน่นอนว่าสุดท้าย คนที่รู้ดีกว่าใครถึงผลลัพธ์ที่ผมได้รับว่าคือสิ่งใด ก็คือตัวผมเอง

ผมจำได้ว่า ครั้งนั้น ผมจึงบอกกับพระเจ้าไว้ว่า ผมจะไม่อดอาหารอธ.เองแบบบ้าหักโหมเช่นนี้อีก ไม่ใช่เพราะผมขาดความเชื่อ แต่เพราะการทรงสร้างของแต่ละคนไม่เหมือนกัน

จุดเน้นย้ำของพระเจ้าในชีวิตผมคือ การมีชีวิตให้มีความสุขอย่างสมดุลย์ โดยปกติผมอธ.ง่ายๆ เชื่อง่ายๆ พระเจ้าก็ตอบง่ายๆ ไม่ได้จำเป็นต้องไปทำให้มันยุ่งยากวุ่นวายใหญ่โตเหมือนที่ใครหลายคนคิดหรือเชื่ออย่างนั้น

คิดแล้วก็เสียใจ เผลอปล่อยตัวไปกับความเชื่อของคนอื่น แทนที่จะได้คิดงานที่มั่นใจได้ว่าเป็นประโยชน์ต่อคริสตจักร และอาณาจักรภาพรวมแน่ กลับต้องมาเสียเวลานั่งฟื้นฟูสภาพตัวเองอีก เฮ่อ เหมือนถูกมารหลอกเลยอ่ะ

พระเจ้าก็พูดชัดเจน พระองค์พอพระทัยการกระทำที่เป็นผลของความเชื่อ แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าก็ไม่ได้เลย (ฮบ.11:6)

หากเราเองทำสิ่งที่เราไม่เชื่อ ไม่ว่าจะเนื่องด้วยเหตุผลใด หรือจะไปพยายามหว่านล้อมให้ผู้อื่นทำในสิ่งที่เขาไม่เชื่อ ด้วยตรรกะความคิดและความเชื่อของเรา เหล่านี้ ล้วนกินลมกินแล้ง พระคัมภีร์ เรียกว่า อนิจจัง ( meaningless) ส่วนตัวผมเองชอบเรียกสิ่งนี้ว่า "ไร้สาระ"

... ความสงบสุขกำมือหนึ่งยังดีกว่าการงานตรากตรำสองกำมือและการกินลมกินแล้ง (ปัญญาจารย์ 4:6) คุณว่าจริงไหม

วันจันทร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2552

self...

ช่วงนี้ ไปลงเรียนพระคัมภีร์ Nexus Bible Programs เอาไว้ ก็ไม่ได้คิดอะไรมากหรอก แค่มีพี่คนหนึ่งมาสอน ก็คิดว่า ชาตินี้จะได้มีโอกาสเรียนรู้จากชีวิตและประสบการณ์การรับใช้พระเจ้าของพี่เขาไหม หากปล่อยโอกาสนี้ให้ผ่านไป

หากวันนี้ไม่ลงเรียน อีก 30 ปีข้างหน้า มองย้อนกลับมา เราคงเสียใจมากแน่ๆ ก็ตัดสินใจเรียน โดยไม่ละเลยภาระปัญหาที่ต้องเผชิญตามมา

จะบอกว่า รู้สึกคุ้มค่ามากๆ จริงๆนะ

เมื่อวานนี้ อ.ผู้สอนติดภาระกิจ จึงให้ศิษย์เอก คือ อ.กอล์ฟมาสอนแทน อ.กอล์ฟท่านเติบโตขึ้นมากจริงๆ วันนี้ท่านสอนหลายอย่าง สิ่งหนึ่งที่เป็นประโยชน์และโดนใจผมอย่างมาก คือ เรื่อง 3-self

1. self-control หรือ การรู้จักบังคับตน 1ในผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นลักษณะชีวิตพื้นฐานของคริสเตียน คงไม่ต้องพูดอะไรกันมาก พูดกันเป็นภาษาง่ายๆมันคือการรู้จักควบคุม ความคิด ความรู้สึก คำพูด และการกระทำของเรานั่นเอง ไม่ใช่เพียงแค่การอดทนอดกลั้นเหมือนหลักปรัชญาของบางศาสนา แต่คือ การรู้จักตัวเองมากพอที่จะแสดงออกตอบสนองตามพระลักษณะของพระเจ้าที่อยู่ภายในชีวิตเรา
2. self-discipline หรือ การมีวินัยในตนเอง พูดง่ายๆ คือ การรู้จักเวลา รู้ว่าเวลาใดควรหรือไม่ควรทำสิ่งใด ต้องทำหรือต้องไม่ทำสิ่งใดในเวลาใด เคารพเส้นตาย เป้าหมาย แผนที่วางไว้ ให้รู้จักกำหนดเส้นตายของงาน เราจะบีบตัวเองให้ทำงานเก่งขึ้นได้
3. self-learning หรือ การเรียนรู้ด้วยตนเอง ขยันที่จะเป็นนักอ่าน นักศึกษา นักค้นคว้า ไม่ต้องรอให้อาจารย์มาป้อน เรียนรู้ที่จะพัฒนาตัวเองเสมอๆ

อ.กอล์ฟ เชื่อมั่นว่า ใครที่สามารถพัฒนาตัวเองในทั้งสามด้านนี้ได้ จะประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างแน่นอน ผมขอรับไว้เป็นดั่งคำอวยพรเนื่องในวันเกิดปีนี้ของผมนะครับ

ปีนี้เป็นปีที่แปลก แต่ดีจริงๆ เป็นปีแรกที่ไม่มีข้อความส่งมาอวยพรวันเกิดซักข้อความเดียว คนรอบข้างใกล้ตัวตามโครงสร้างอภิบาลดูเหมือนจะไม่มีใครรู้วันเกิดของผมนะนี่ มีคนสองคนที่โทรมา msnมา ระหว่างวัน และอีกหลายคนที่อวยพรผ่าน"ฮิห้า" อย่างไรก็ขอบคุณนะครับ
ส่วนที่บอกว่าดีจริงๆ เพราะคำอวยพรแรกในวันเกิดปีนี้ เป็นคำอวยพรที่สัมผัสได้ถึงความห่วงใยและการเอาใจใส่ของคนอวยพร ผมเชื่อว่าคำอวยพรทั้งหมดจะเป็นจริงตามนั้น ผมรู้ว่า ผู้ที่อวยพรผมพระเจ้าจะทรงอวยพรเขากลับ และหวังว่า เราจะได้อวยพรให้กันและกันเช่นนี้ไปตลอด จนแก่จนเฒ่าไปด้วยกัน

เหนือสิ่งอื่นใด ขอให้ปีนี้ เป็นปีที่ผมเองจะกล้าเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น... ขอบคุณที่ยอมรับผมได้ ไม่ว่าผมจะเป็นอย่างไร ผมจะดีขึ้นแน่ๆ ผมสัญญาครับ

วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Fellowship Series #0: Introduction

หลังจากที่มีการปรับโครงสร้าง และไปเข้าร่วมกลุ่มสามัคคีธรรมกลุ่มใหม่ + ได้รับผิดชอบดูแลงานพัฒนาของโซน
ก็เลยคิดถึงกลุ่มสามัคคีธรรมที่เคยทำกับเพื่อนๆเมื่อหลายปีก่อน ซึ่ง ณ เวลานั้น เป็นพรกับคนได้มากกว่า 20 ชีวิต จนถึงทุกวันนี้

ผมเชื่อว่า สิ่งสำคัญ คือ เรื่องรากฐาน ความคิด ความเข้าใจ ไม่มีใครโง่เกินไปกว่าจะเรียนรู้ได้ (และไม่มีใครฉลาดกว่าคนอื่นโดยสมบูรณ์ด้วย... พระเจ้าแล้วนั่น) ผมเชื่อว่าเรื่องสำคัญที่สุด ที่เราควรเรียนรู้เสมอ คือ เรื่องชีวิตของเราเอง
สิ่งสำคัญมากกว่าเราทำอะไร คือเราเป็นอะไร และเราเป็นในสิ่งที่เราคิดครับ

กลุ่มสามัคคีธรรมย่อย มุมหนึ่ง คือภาพสะท้อนในการดำเนินชีวิตของเรา ซึ่งมีผลอย่างมหาศาลทั้งในปัจจุบันวันนี้ และวันหน้า
ยิ่งแต่ละคนแข็งแรง กลุ่มก็แข็งแรง ครอบครัวของเราแต่ละคนก็แข็งแรง ชุมชนก็แข็งแรง คริสตจักรท้องถิ่นก็แข็งแรง คริสตจักรสากลก็แข็งแรง อาณาจักรของพระเจ้าก็แข็งแรง หากถึงวันนั้น สวรรค์เป็นอย่างไร ก็คงเป็นอย่างนั้นในแผ่นดินโลก

ตั้งใจอยากจะเห็นวันหนึ่ง กลุ่มแคร์ เป็นกลุ่มที่ทุกคนอยากมาให้อะไรสักอย่าง อย่างน้อยกับใครสักคน เป็นที่ๆคนคิดถึง และเขาอยากมา ใครก็อยากมา ใครก็อยากชวนเพื่อนมา มาแล้วได้รับกำลัง ได้รับอะไรๆกลับไป โดยไม่ต้องพยายามมองหา อยากให้เป็นอย่างนั้น... เป็นที่ๆอุดมไปด้วยการอวยพรของพระเจ้า

ระยะเวลาสองเดือนในการสอน สัปดาห์ละสองครั้งที่วางแผนไว้ ในการปูรากฐานความคิดของชีวิตคริสเตียนพื้นฐาน เพื่อที่ครั้งสุดท้าย จะสอนวิธีการทำแคร์ คงไม่มากไม่น้อยเกินไป แล้วช่วง เม.ย.-พ.ค. จะให้ทุกคนเริ่มลงมือทำกันจริงจังแล้วครับ ขอให้ทุกคนเรียนรู้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้นะครับ ไม่มีใครรู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น แต่พระคัมภีร์บอกเราว่า มือของเจ้าจับกระทำงานใด จงกระทำด้วยเต็มกำลังของเจ้า, จงเร่งทำงานในเวลากลางวัน เวลามืดกำลังจะมา และจงทำทุกอย่างด้วยความรัก ใช่ครับ เพราะไม่เพียงความรักจะผูกพันให้ทุกอย่างไปสู่ความสมบูรณ์ แต่ความรัก... ใหญ่ที่สุดครับ

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

ป.ล. มีคนถามว่ากำลังทำอะไรอยู่ ก็เลยเขียน คำนำนี้ขึ้นมา จะได้รู้ว่า ผมมีเป้าหมายอะไร ผมก็ย้ำเสมอๆนะว่า ผมกำลังสอน "การทำแคร์"

วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Fellowship Series #3: ชีวิตที่สมดุลย์

"พระเยซูก็ได้จำเริญขึ้นในด้านสติปัญญา ในด้านร่างกาย และเป็นที่ชอบจำเพาะพระเจ้า และต่อหน้าคนทั้งปวงด้วย" ลูกา 2:52

ก่อนพระเยซูจะทรงเริ่มพระราชกิจของพระองค์เรารู้ประวัติของพระองค์น้อยมาก ในพระกิตติคุณมีเพียงพระธรรมลูกาเท่านั้นที่บันทึกไว้ และข้อสุดท้ายที่กล่าวถึงช่วงวัยชีวิตของพระเยซูใน 30 ปีแรกก่อนเริ่มพระราชกิจ ก็คือข้อดังกล่าวข้างต้น

ประเด็นหลักคือ พระเยซูเติบโตขึ้น พระเยซูจำเริญขึ้นใน 4 ด้าน ได้แก่

1. ฝ่ายสติปัญญา wisdom not smart nor clever
สติปัญญานี้ ไม่ใช่ปัญญาแบบโลก
1โครินธ์ 3:18 อย่าให้ผู้ใดหลอกลวงตัวเอง ถ้าผู้ใดในพวกท่านคิดว่า ตัวเป็นคนมีปัญญาตามหลักของยุคนี้ จงให้ผู้นั้นยอมเป็นคนโง่ จึงจะเป็นคนมีปัญญาได้

สติปัญญาแบบพระเจ้าเป็นเช่นไร
ยากอบ 3:17 แต่ปัญญาจากเบื้องบนนั้นบริสุทธิ์เป็นประการแรก แล้วจึงเป็นความสงบสุข สุภาพและว่าง่าย เปี่ยมด้วยความเมตตาและผลที่ดี ไม่ลำเอียง ไม่หน้าซื่อใจคด
หลักคิดของพระเจ้านั้นเรียบง่าย(simple)แต่ไม่ง่ายง่าย(easy) ครบถ้วน(complete)แต่ไม่ซับซ้อน(complicate)

ความยำเกรงพระเจ้าเป็นที่เริ่มต้นของสติปัญญาแบบพระเจ้า หรืออีกนัยหนึ่ง ยิ่งยำเกรงพระเจ้ามากขึ้น ยิ่งได้รับและเติบโตในสติปัญญาของพระองค์มากขึ้น
สุภาษิต 1:7 ความยำเกรงพระเจ้า เป็นบ่อเกิดของความรู้
สุภาษิต 9:10 ความยำเกรงพระเจ้า เป็นที่เริ่มต้นของปัญญา

2. ฝ่ายกายภาพ stature
แม้ร่างกายนี้จะเป็นเพียงที่อยู่ชั่วคราวของเรา
2คร.5:1 เพราะเรารู้ว่า ถ้าเรือนดินคือกายของเรานี้จะพังทำลายเสีย เราก็ยังมีที่อาศัยซึ่งพระเจ้าทรงโปรดประทานให้ ที่มิได้สร้างด้วยมือมนุษย์ และตั้งอยู่เป็นนิตย์ในสวรรค์

แต่ตราบเท่าที่เรายังดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้ จิตวิญญาณ ยังคงต้องพึ่งพาฝ่ายกายภาพ เราไม่สามารถไปไหนได้เฉพาะแต่จิตวิญญาณ โดยที่ร่างกายมิได้ไปด้วยได้

ดังนั้นแล้วเราจึงต้องดูแลร่างกายของเราให้ดี เพื่อเป็นพาหนะนำพาจิตวิญญาณของเราไปกระทำกิจบนโลกใบนี้ ให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ ไปให้ถึงยังจุดหมายปลายทาง
ดูแลสุขอนามัยพื้นฐาน กินอาหารที่ดีมีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารกินไว ไขมันสูง กินข้าวเช้า ไม่กินก่อนนอน นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกาย ตรวจสุขภาพประจำปี ท่องเที่ยวพักผ่อนตามโอกาสอำนวย

จิตวิญญาณที่แข็งแกร่ง ย่อมอาศัยอยู่ในร่างกายที่แข็งแรง

3. ฝ่ายจิตวิญญาณ favour to God
เป็นที่ชอบใจในสายตาของพระเจ้า เป็นผู้ที่ดำเนินตามพระดำรัสของพระเจ้า
เราจะลงรายละเอียดเรื่องนี้ ใน ชีวิตที่พระเจ้าโปรดปราน (pleased life) อีกครั้งหนึ่ง

การเติบโตขึ้นทางฝ่ายจิตวิญญาณ โดยการกินอาหารฝ่ายวิญญาณ คือ การเรียนรู้ที่จะกระทำตามพระทัยของพระเจ้า
เราจะลงรายละเอียดเรื่องนี้ ใน อาหารแห่งวิญญาณจิต (spiritual foods) อีกครั้งหนึ่ง
ยอห์น 4:34 พระเยซูตรัสกับเขาว่า "อาหารของเราคือการกระทำตามพระทัยของพระองค์ ผู้ทรงใช้เรามา และทำให้งานของพระองค์สำเร็จ"

4. ฝ่ายสังคม favour to man
เป็นที่ชื่นชอบในสายตามนุษย์ เป็นคนมีชื่อเสียงดี ประกอบสัมมาชีพ ดูแลตัวเอง ช่วยเหลือผู้อื่นได้
กษัตริย์ซาโลมอน ผู้ที่ได้ชื่อว่าฉลาดที่สุดในโลกนี้ ก็ยังให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เอาไว้
สุภาษิต 3:4 ดังนั้น เจ้าจงหาความพอใจ และชื่อเสียงดี ในสายพระเนตรพระเจ้า และในสายตามนุษย์
สุภาษิต 22:1 ชื่อเสียงดีเป็นสิ่งควรเลือกยิ่งกว่าความมั่งคั่งมากมาย
ปัญญาจารย์ 7:1 ชื่อเสียงดีก็ประเสริฐกว่าน้ำมันหอมอย่างวิเศษ

การเติบโตทางสังคม คือ การเรียนรู้จักการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น การมีมารยาททางสังคม ไม่เพียงเป็นคนที่เข้าอกเข้าใจคนอื่น(understaning) แต่เรียนรู้ที่จะเห็นอกเห็นใจคนอื่น (sympathy) รู้จักคบหาสมาคมคนอื่น พัฒนาบุคลิกภาพ การพูด การวางตัวในสังคม มีความจริงใจ จิตใจดีงาม เบิกบานใจ เป็นที่ชอบใจแก่คนที่พบเห็น

เราดำเนินชีวิตอยู่ในโลก มีผลต่อโลก แต่ไม่เป็นของโลก ดุจดังเกลือแห่งแผ่นดินโลก เป็นดั่งตัวแทนของพระเจ้าในโลกนี้ ที่จะนำโลกกลับมาหาพระเจ้า ชีวิตที่สำแดงออกถึงพระศิริของพระเจ้า มีปฏิสัมพันธ์กับชุมชนคนในสังคม

การเติบโตทั้ง 4 ด้านนี้ เปรียบเหมือนใบพัดกังหันลม ที่ยึดติดอยู่ด้วยกันประกอบกันขึ้นเป็นชีวิต
การเติบโตขึ้นในด้านใดด้านหนึ่ง มีผลทางอ้อมต่อการเติบโตในด้านอื่นด้วย ทำนองกลับกัน การไม่เติบโตในด้านใดด้านหนึ่ง ก็จะเป็นการเหนี่ยวรั้งต่อการเติบโตของด้านอื่นๆด้วย
กังหันลมที่สามารถใช้การได้ดี ควรมีขนาดของใบพัดที่เท่าๆกันฉันใด ชีวิตที่ดีก็ควรมีระดับการเติบโตในด้านต่างๆใกล้เคียงกันฉันนั้น

แกนของกังหันลมนี้ หากเปรียบก็จะเหมือนกับชีวิตของมนุษย์ ก่อนรู้จักพระเจ้า แกนนี้มีสภาพเป็นแกนดิน มนุษย์เป็นคนบาป ทำบาป และต้องรับผลของบาปนั้น แต่เมื่อเรารู้จักพระเจ้า เชื่อวางใจในการไถ่ของพระเยซูคริสต์ บังเกิดใหม่ ได้รับความรอด และชีวิตนิรันดร์เริ่มกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง เปรียบเหมือน แกนดินนี้ จะได้รับการเปลี่ยนเป็นแกนทองคำทันที แต่ยังมีร่องรอยของคราบโคลนดินติดอยู่ภายนอกบ้าง ซึ่งเป็นเพียงความเคยชินในพฤติกรรมนิสัยบาปของเราเท่านั้น เราสามารถปฏิเสธที่จะไม่ทำตามความเคยชินนั้นได้ บาปไม่ได้มีอำนาจเหนือเราอีกต่อไป ยอห์น 1:12-13
12 แต่ส่วนบรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ทรงประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า
13 ซึ่งในฐานะนั้นเป็นผู้ที่มิได้เกิดจากเลือดเนื้อ หรือกาม หรือความประสงค์ของมนุษย์ แต่เกิดจากพระเจ้า

แต่แม้การพลาดทำผิดบาป ก็ไม่ได้ทำให้เราเสียสถานะภาพที่เรามีอยู่ในพระเยซูคริสต์ สถานะที่เรา "เป็นใคร" ไม่เปลี่ยนแปลง แต่เราอาจเสียสิทธิบางอย่างจนกว่าเราจะกลับใจใหม่กับพระเจ้าในเรื่องบาปนั้นๆ

ในชีวิตของคริสเตียน พระเจ้าจึงมีกระบวนการพัฒนาเราผู้เชื่อ 2 กระบวน ผ่านทุกเหตุการณ์ตลอดชีวิตคริสเตียนของเรา คือ
1 กระบวนการชำระให้บริสุทธิ์ purification ล้างคราบไคล พฤติกรรมนิสัยเก่า เผยเนื้อแท้ในพระเจ้า
2 กระบวนการทำให้มีสง่าราศี glorification ขัดศรีฉวีวรรณ ผ่องส่องแสงเปร่งประกายแห่งพระศิริของพระเจ้าในชีวิต

ซึ่งทั้ง 2 กระบวนนี้ สิ่งสำคัญหลัก คือ พระวจนะคำพระเจ้า
ยอห์น 15:3 ท่านทั้งหลายได้รับการชำระให้สะอาดแล้วด้วยถ้อยคำที่เราได้กล่าวแก่ท่าน
ยอห์น 17:17 ขอทรงโปรดชำระเขาให้บริสุทธิ์ด้วยความจริง พระวจนะของพระองค์เป็นความจริง

มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาปจริง แต่ผู้เชื่อไม่ใช่คนบาปแล้ว เราเพียงยังคงมีความทรงจำและคุ้นเคยกับวิถีชีวิตที่ดำเนินในความผิดบาปเท่านั้น

หากมองกังหันลมนี้เป็นดั่งต้นไม้ จำเป็นที่ต้นไม้นี้ต้องวางรากลงบนคำสอนอันมีหลัก / ความจริงในพระเจ้า แล้วชีวิตของเขาจะจำเริญขึ้นเสมอตามฤดูกาลของพระเจ้า
สดุดี 1:3 เขาเป็นเช่นต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมธารน้ำ ซึ่งเกิดผลตามฤดูกาล และใบก็ไม่เหี่ยวแห้ง การทุกอย่างซึ่งเขากระทำก็จำเริญขึ้น

เมื่อใบทั้ง 4 เติบโต แข็งแรงขึ้น พระเจ้ายกชูชีวิตของเราขึ้น เปรียบเทียบภาพเหมือนการหมุนของใบพัดเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ ที่ช่วยยกตัวเครื่องบินขึ้น เมื่อชีวิตเราถูกยกขึ้น ศิลาแห่งความจริงของพระเจ้าที่เราปักแน่นอยู่ก็จะถูกยกชูขึ้นโดดเด่นต่อคนในสังคมและประชาชาติให้ได้เห็นอย่างเด่นชัด
มัทธิว 5:16 ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์

ดังนั้น ยิ่งผู้เชื่อแต่ละคนมีชีวิตที่สมบูรณ์เติบโตขึ้นอย่างสมดุลย์ในด้านต่างๆทั้ง 4 แกนหลักๆนี้ มากขึ้นเพียงใด คริสตจักรและพระเยซูคริสต์ผู้เป็นศีรษะของคริสตจักร ก็จะยิ่งสูงเด่น ได้รับเกียรติมากขึ้นเท่านั้น

** ใช้แบ่งปัน อ. 15 ก.พ. 2009 **

วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Fellowship Series #2: ทัศนคติ

กดว.13:21-33
21 คนเหล่านั้นจึงขึ้นไปสอดแนมแผ่นดิน ตั้งแต่ถิ่นทุรกันดารศิน จนถึงเรโหบ ที่ทางเข้าเมืองฮามัท
22 เขาขึ้นไปถึงเนเกบ ถึงเมืองเฮโบรน และอาหิมาน เชชัย และทัลมัย คือคนอานาคอยู่ที่นั่น (เมืองเฮโบรนนี้เขาสร้างมาก่อนเมืองโศอันในอียิปต์ได้เจ็ดปี)
23 เขาทั้งหลายมาถึงห้วยเอชโคล์ ที่นั่นเขาตัดองุ่นกิ่งหนึ่งมีองุ่นพวงหนึ่ง สองคนใช้ไม้คานหามมาเขาเก็บผลทับทิมและมะเดื่อมาบ้าง
24 เขาเรียกที่นั่นว่าห้วยเอชโคล์ {แปลว่า พวงผล} เพราะพวงผลองุ่นซึ่งคนอิสราเอลได้ตัดมาจากที่นั่น
25 ล่วงมาสี่สิบวันเขาทั้งหลายก็กลับมาจากการไปสอดแนมที่แผ่นดินนั้น
26 เขาทั้งหลายกลับมาถึงโมเสสและอาโรน และมาถึงชุมนุมชนอิสราเอล ในถิ่นทุรกันดารปารานที่คาเดช เขาเล่าเรื่องให้ท่านทั้งสอง และบรรดาคนอิสราเอลฟัง และให้ดูผลไม้แห่งแผ่นดินนั้น
27 เขาทั้งหลายเล่าให้โมเสสฟังว่า "ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ไปถึงแผ่นดิน ซึ่งท่านใช้ไปมีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ที่นั่นจริง และนี่เป็นผลไม้ของเมืองนั้น
28 แต่คนที่อยู่ในเมืองนั้นมีกำลังมาก และเมืองของเขาก็ใหญ่โตมีกำแพงล้อมรอบ นอกจากนั้นข้าพเจ้าทั้งหลายยังเห็นคนอานาคที่นั่นด้วย
29 คนอามาเลขอยู่ในแผ่นดินเนเกบ คนฮิตไทต์ คนเยบุส และคนอาโมไรต์อยู่บนภูเขา คนคานาอันอาศัยอยู่ที่ริมทะเล และตามฝั่งแม่น้ำจอร์แดน"
30 แต่คาเลบได้ให้คนทั้งปวงเงียบต่อหน้าโมเสสกล่าวว่า "ให้เราขึ้นไปทันทีและยึดเมืองนั้น เพราะพวกเรามีกำลังสามารถที่จะเอาชัยชนะได้"
31 ฝ่ายคนทั้งปวงที่ขึ้นไปสอดแนมด้วยกันกล่าวว่า "เราไม่สามารถสู้คนเหล่านั้นได้ เพราะเขามีกำลังมากกว่าเรา"
32 และเขาได้กล่าวร้ายเรื่องแผ่นดินที่เขาได้ไปสอดแนมมาเล่าให้คนอิสราเอลฟังว่า "แผ่นดินที่เราได้ไปสืบดูตลอดแล้วนั้นเป็นแผ่นดินที่กินคนซึ่งอยู่ในนั้น ชาวเมืองที่เราเห็นเป็นคนรูปร่างใหญ่โต
33 ที่นั่นเราเห็นคนเนฟิล {ดูหมายเหตุในปฐมกาล6:4} (คนอานาคผู้มาจากคนเนฟิล) ในสายตาของเรา เราเหมือนเป็นตั๊กแตนโมในสายตาของเขาก็เหมือนกัน"

ในวรรณคดีไทยเรื่อง ลิลิตพระลอ มีตอนหนึ่งที่ผมชอบ กล่าวว่า "... สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม อีกคนตาแหลมคม มองเห็นดาวอยู่พร่างพราย..."

บ่อยๆครั้ง ในสถานการณ์เดียวกัน
บางคนเห็นแต่อุปสรรรค บ้างเห็นแต่ปัญหา บ้างเห็นวิกฤต...
ขณะที่บางคนเห็นทางออกในปัญหา บ้างเห็นโอกาสในวิกฤต และบ้างเห็นความเป็นไปได้ในความจำกัด
(แต่สองกลุ่มนี้ ยังงัยก็ดีกว่าคนที่ไม่เห็นอะไรเลย)

หากถามว่าฝาขวดน้ำออร่าสีอะไร ใครๆก็คงตอบว่าสีเขียว แต่หากมีใครบางคนบอกว่าเขาเห็นเป็นสีอื่นล่ะ เป็นไปได้ไหม เพราะอะไร...
.
.
.

ครับ เป็นไปได้ หากเขาตาบอดสี สายตาของเขากำหนดสิ่งที่เขาเห็น

หากให้คน 4 คน ที่ไม่รู้จักช้าง จับงวงช้าง งาช้าง ท้องช้าง หางช้าง แล้วถามว่า ช้างเป็นอย่างไร ทั้ง 4 คน คงตอบว่าช้างเป็นอย่างไร แตกต่างกัน

ทัศนคติ (attitude) คือ ความคิดของเราที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ภาษาชาวบ้าน เรียกว่า มุมมอง (views) หรือ คือ การเห็นจากจุดที่เรายืนอยู่นั่นเอง
ในพระคัมภีร์ มีการกล่าวถึงเรื่อง ทัศนคติไว้เช่นกัน โดย เรียกว่า ท่าที

หากดูจากพระธรรมมัทธิว เราพบว่า ในคำเทศนาบนผู้เขา ซึ่งเป็นการเทศนาครั้งแรกของพระเยซูต่อมวลชน ก็มีการพูดถึงเรื่องท่าทีหรือมุมมองของพระเยซู ต่อเรื่องต่างๆในการดำเนินชีวิต

หากดูจากมุมมองของพระเยซู เช่น ในเรื่องการล่วงประเวณี (มธ.5:27-28)
27 "ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา
28 ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดมองผู้หญิงเพื่อให้เกิดใจกำหนัดในหญิงนั้น ผู้นั้นได้ล่วงประเวณีในใจกับหญิงนั้นแล้ว
อาจกล่าวได้ว่า ท่าที คือ พฤติกรรมที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของเรา (inner action) พระเจ้าจึงถือว่าทำผิดแล้ว แม้ยังเป็นเพียงความคิดท่าที เพราะมนุษย์มองดูพฤติกรรมภายนอก แต่พระเจ้าทอดพระเนตรดูภายใน
1ซามูเอล 16:7 แต่พระเจ้าตรัสกับซามูเอลว่า "อย่ามองดูที่รูปร่างภายนอกหรือที่ความสูงแห่งร่างกายของเขา ด้วยเราไม่ยอมรับเขาเพราะพระเจ้าทอดพระเนตรไม่เหมือนกับที่มนุษย์ดู มนุษย์ดูที่รูปร่างภายนอกแต่พระเจ้าทอดพระเนตรจิตใจ"
จึงไม่น่าแปลกใจที่พระคัมภีร์บอกใน มธ.5:8 ว่า "บุคคลผู้ใดมีใจบริสุทธิ์ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้เห็นพระเจ้า" ผู้นั้นต้องบริสุทธิ์ถึงในความคิดอย่างแท้จริง

คนเราจึงมองเห็นสิ่งเดียวกันแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับสีของเลนส์แห่งสายตาของเรา หรือทัศนคติที่เราสวมอยู่ หลายครั้งจึงเกิดเหตุการณ์ที่มีคนอ่านสิ่งเดียวกัน ฟังสิ่งเดียวกัน แต่เข้าใจไม่ตรงกัน

ทัศนคติ ท่าที มุมมอง ทำให้เราเห็นสิ่งที่จริง (Fact)ได้ แต่อาจไม่ช่วยให้เราเห็นความจริง (Truth)ได้ ดังเช่นตัวอย่างของการคลำช้างของคน 4 คนข้างต้น

การมีทัศนคติที่ดี เป็นสิ่งที่ดีช่วยให้คนเราประสบความสำเร็จได้ หากดูว่าสิ่งใดมีผลต่อความสำเร็จด้วยการแทนตัวอักษรในภาษาอังกฤษด้วยตัวเลขตามลำดับ แล้วนำมาบวกกัน ATTITUDE (1+20+20+9+20+21+4+5) จะได้ 100% ซึ่งมากกว่า SMART หรือ WORK HARD เสียอีก แต่มี สิ่งหนึ่ง ที่ให้ผลลัพธ์ มากกว่า ทัศนคติ นั่นคือ ความรักของพระเจ้า (love of God = 101%)

พระเยซูคริสต์มิได้บอกว่า พระองค์เป็น "สิ่งที่จริง" หรือเป็นเรื่องจริงในมุมมองของพระองค์ แต่พระองค์บอกว่า พระองค์ทรงเป็น "ความจริง" หรือเป็นสิ่งจริงแท้แน่นอนที่ใครๆก็เห็นได้ (แล้วแต่จะเห็นมุมไหน)

ดังนั้น วันนี้ ในฐานะของ พระคริสต์องค์น้อย ผู้เชื่อจึงควรกลับมาพิจารณาตัวเองว่า เราเห็นตัวเองรวมถึงคนและสิ่งต่างๆรอบตัวของเรา ตามความจริงแท้ในสิ่งที่เรา(หรือเขา)เป็น หรือว่าเราเห็นเพียงสิ่งที่จริงในชีวิตของเรา หรือบางคนไม่เห็นอะไรเลย (พวกนี้ น่ากลัวว่าจะเห็นแต่สิ่งที่คิดว่าจริง (illusion))

หากว่าเราเองมีทัศนคติต่อ พระคัมภีร์ ว่าเป็นหนังสือเล่มหนึ่ง เราก็จะเพียงแค่อ่านหนังสือที่ดีอีกเล่มหนึ่ง แต่หากเรามีท่าทีว่า พระคัมภีร์ คือ คำพูดศักสิทธิ์ของพระเจ้า เราจะเห็นฤทธิ์เดชของพระวจนะคำของพระเจ้า

หากวันนี้ เราตั้งใจจะเป็นอีกคนหนึ่งที่เห็นสิ่งต่างๆในโลกนี้ ตามความจริงแท้ของมัน จงให้พระคัมภีร์เข้ามาสร้าง เข้ามาเปลี่ยนมุมมองของท่าน จงเริ่มต้นเสียแต่วันนี้ ด้วยการยอมให้พระคัมภีร์อ่านเรา

** ใช้แบ่งปันในกลุ่ม พ.11 ก.พ.2009**

วันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Fellowship Series #1: การวางแผน

"...ด้วยว่าซึ่งเราทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวเราทั้งหลายกระทำเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้ ความรอดนั้นจะเนื่องด้วยการกระทำก็หามิได้ เพื่อมิให้คนหนึ่งคนใดอวดได้..." เอเฟซัส 2:8-9

เราคงเคยได้ยินเรื่องการวางแผนมามากมาย ชีวิตเรามีการวางแผนอยู่เสมอ ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แผนและการวางแผนจึงเป็นเรื่องใกล้ตัวสำหรับคนทุกคนอย่างมาก

แผนที่ดี มีองค์ประกอบพื้นฐาน 3 อย่าง ได้แก่
1. การมีเป้าหมายชัดเจน
2. การตระหนักถึงจุดที่ยืนอยู่
3. การมองเห็นความเป็นไปได้ของเส้นทาง

การมีเป้าหมายที่ชัดเจน หรือการมีวิสัยทัศน์ คือ การเห็นภาพในความคิดในทุกรายละเอียดของสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เป้าหมายเรายิ่งชัดเรายิ่งรู้ว่า มีอะไรที่เราจะต้องลงมือทำบ้าง
พระเจ้าเองก็มีเป้าหมายที่ชัดเจน และที่สำคัญ เป้าหมายของพระเจ้าไม่ใช่มโนภาพในความคิดของพระองค์ แต่เป็นเรื่องจริงที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เป้าหมายของพระเจ้า คือ ให้มนุษย์ทั้งปวงรอดจากผลของความบาป ได้กลับมารู้จักและมีสัมพันธ์สนิทกับพระเจ้าอีกครั้ง

การตระหนักถึงจุดที่ยืนอยู่ สำคัญมาก การประเมินตัวเองอย่างตรงไปตรงมา ทำให้เรารู้ขีดจำกัดและความสามารถของเราอย่างครบถ้วน ทำให้เรารู้ว่า เราทำอะไรได้บ้าง และทำได้แค่ไหน ซึ่งจะมีผลต่อการกำหนดวิธีการเพื่อให้ได้มาซึ่งเป้าหมายนั้นๆ
เป็นที่แน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัยว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาปและเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า เราถูกแยกออกจากพระเจ้าและไม่สามารถกลับไปหาพระองค์ได้ด้วยตัวของเราเอง

ความเป็นไปได้ของเส้นทาง/วิธีการ เป็นการพิจารณาที่ต้องอาศัยการฝึกฝน เพราะเรากำลังคิดถึงเรื่องในอนาคตด้วยข้อมูลในปัจจุบัน ดังนั้นจึงต้องระลึกไว้เสมอว่า แผนสามารถเปลี่ยนได้หากสมมติฐานของปัจจัยกำหนดเปลี่ยน แต่ไม่ได้หมายความว่า เราควรจะเปลี่ยนแผนบ่อยและทันที หากมีปัจจัยเปลี่ยน ต้องอย่าลืมว่า วิธีการ เป็นเพียงเครื่องมือเพื่อให้เป้าหมายบรรลุสำเร็จตามต้องการ
พระเจ้าทรงมีวิธีการที่หลากหลายเพื่อนำมนุษย์กลับมาหาพระเจ้า จนสุดท้าย ด้วยเพราะความดื้อดึงของมนุษย์ที่พระองค์ทรงรู้จักจิตใจของเขา พระองค์จึงทรงเตรียมชีวิตของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ให้เป็นค่าไถ่ เพื่อที่เราทั้งหลายจะรอดได้ ผ่านทางความเชื่อเท่านั้น วิธีการที่ง่ายที่สุด นั่นคือการใช้ความเชื่อ กระนั้น บางคนก็ยังมองว่ามันง่ายไป

หากวันนี้ แม้ทุกเช้าในการไปทำงาน ซึ่งเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ เรายังมีการวางแผนการเดินทาง แล้วกับเส้นทางชีวิตของเราซึ่งไม่ได้มีเพียงแค่ชีวิตที่อยู่บนโลกนี้ แต่รวมถึงชีวิตหลังความตายอีกนานตราบนิรันดร์ เราเองจะไม่ใส่ใจวางแผนชีวิตนิรันดร์ของเราหรือ

ขอบคุณพระเจ้า ที่วันนี้ พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดแห่งสากลจักรวาล ได้ทรงเปิดเผยแผนการที่ไม่อาจมีมนุษย์คนไหนสามารถทำได้ นั่นคือ แผนการความรอดนิรันดร์ พระองค์ทำในส่วนของพระองค์ในการช่วยกู้เราเรียบร้อยแล้ว คือ การวายพระชนม์และฟื้นในวันที่สาม ที่เหลือจึงเป็นส่วนของเรา ที่จะเลือกเชื่อและรับไว้

หากแผนนี้ถูกวางโดยพระเจ้าพระผู้สร้าง พระองค์ย่อมรู้ข้อมูลของทุกคนและทุกสิ่งเป็นอย่างดี เพราะพระองค์อยู่เหนือกาลเวลา พระองค์เป็นทั้งเบื้องต้นและเบื้องปลาย ดังนั้น เราเองจึงควรรับโอกาสนี้ที่พระเจ้าประทานให้ผ่านทางความเชื่อ ร่วมอยู่ในแผนแห่งความรักขององค์พระผู้เป็นเจ้า กลับมาร่วมรับมรดกของพระเจ้า จากสิทธิในฐานะการเป็นบุตรของพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง

แน่นอนที่สุด แผนนี้ไม่มีพลาด ไม่มีเปลี่ยน ไม่มีล้ม สำเร็จแน่นอน เอเมน

** ใช้แบ่งปันในกลุ่ม พุธที่ 4 ก.พ. 2009 **

วันจันทร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ก้อนดิน...

เมื่อ2-3 สัปดาห์ก่อน ระหว่างรอบนมัสการ พระเจ้าให้เห็นภาพของก้อนดินก้อนหนึ่ง จากก้อนเล็กๆเท่าลูกฟุตบอล แล้วใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ วันนั้น พระเจ้าเร้าใจอย่างรุนแรงมาก ให้เราเผยพระวจนะกับจิตใจของคน... น่าเสียดายจำไม่ค่อยได้แล้ว

ก้อนดินนั้นเหมือนกับจิตใจของคน เดิมอ่อนนุ่ม แต่เจอเศษขยะเจอลมแดด ก็ใหญ่ขึ้นและเริ่มแข็งขึ้น แม้รดน้ำแห่งพระพรลงไปก็กระเซ็นไม่ซึม อยากเปลี่ยนก็เปลี่ยนไม่ได้ มันแข็งเกิน แต่...

ส่วนลึกภายในตรงกลางของหินแข็งนี้ ยังมีพระเจ้าอยู่ ต้องให้พระเจ้าเปลี่ยนจากภายในออกมาสู่ภายนอก เพื่อที่จากหินทั้งก้อนจะเปลี่ยนเป็นดินทั้งก้อนให้พระเจ้าปั้นแต่งใช้การได้ต่อไป

วันนั้น เป็นวันแรกเลยมั้ง ที่พระเจ้าให้ความเข้าใจว่า ให้เผยพระวจนะด้วยสิทธิอำนาจของพระเจ้า คล้ายกับตอนที่เอเสเคียลเรียกกระดูกแห้งให้มีชีวิต แค่ครั้งนี้เป็นการเรียกให้จิตใจคนมีเสรีภาพ รับการปลดเปลื้องจากพันธนาการ
ตอนแรกก็สั่นๆกลัวๆเหมือนกัน แต่พระเจ้าก็บอกเราว่า เผยไปให้เขาได้ยิน นั่นเป็นส่วนของผม ส่วนของการรับไว้เป็นส่วนของผู้ฟัง แล้วพระเจ้าจะทำส่วนของพระองค์ คือ พระองค์จะช่วยกู้ จะเปลี่ยนจิตใจให้ใหม่

ขอบคุณพระเจ้า

วันจันทร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2552

the voice...

เมื่อวันพุธที่แล้ว กลางสัปดาห์ นมัสการในแคร์ พระเจ้าให้เห็นเป็นภาพของเมืองคริสเตียนสองเมือง ที่ประสบภาวะแห้งแล้งทั้งคู่ ทั้งสองเมืองอธิษฐานต่อพระเจ้า พระเจ้าบอกให้ทั้งสองเมืองสร้างฝาย เพื่อเมื่อพระองค์ทรงประทานฝน จะได้มีที่เก็บกักน้ำไว้เพียงพอ

ทั้งสองเมืองไม่รู้จักฝาย จึงถามพระเจ้า พระองค์ก็ทรงอธิบายรูปร่าง ขนาด วิธีการ อย่างละเอียด เมืองหนึ่งเข้าใจแล้วสร้างตามที่พระเจ้าบอก ส่วนอีกเมืองหนึ่งมองว่าฝายเล็กไป เขาคิดว่า หากสร้างใหญ่ขึ้น จะสามารถเก็บน้ำได้มากขึ้น จะสามารถใช้ประโยชน์ได้นานขึ้น รวมทั้งเป็นพรกับคนได้มากขึ้น

ทั้งสองเมืองต่างสร้างฝาย เมื่อเมืองแรกซึ่งสร้างตามที่พระเจ้าบอกสร้างฝายเสร็จ ก็พอดีฝนตก ทั้งสองเมืองต่างชุ่มฉ่ำด้วยน้ำฝนจากฟากฟ้า แต่...

อนิจจา เมืองที่คิดจะสร้างให้ใหญ่กว่าที่พระเจ้าบอก ยังสร้างไม่เสร็จ เขาไม่สามารถเก็บน้ำฝนไว้ได้เลย

เสียงพระเจ้าในใจถามว่า ใครคือผู้ที่พระเจ้าทรงโปรดปราน มิใช่เขาผู้นั้นที่วางใจในพระเจ้ามิใช่หรือ ผู้ที่แสวงหาหน้าของเรา ผู้ที่ทูลขอจากเรา ผู้ที่เชื่อฟังและกระทำตามเสียงของเรามิใช่หรือ เหล่าผู้วางใจในพระเจ้า ผู้เลือกตามใจองค์พระผู้เป็นเจ้า คนเหล่านี้คือผู้ที่เราโปรดปราน เขาจะไม่ขาดแคลนสิ่งดีใดๆจากมือของเราเลย

----------------------------------------------
ระหว่างปลายสัปดาห์

เสียงของพระเจ้ามาถึงอีกว่า "อย่ากระวนกระวายใจว่าจะเอาอะไรกินหรือเอาอะไรดื่ม"
นึกแว้ปขึ้นมาได้ว่า ช่วงนี้ เราวางแผนเรื่องการเงินยิบมาก โดยเฉพาะการหาของกินราคาประหยัด จริงๆก็ดีนะ แต่มันมากไป จนล้ำเส้นกลายเป็นการขาดความวางใจพระเจ้าเสียแล้ว ก็กลับใจใหม่ ไม่เอากระเพาะตัวเองเป็นพระเจ้า จะได้เอาความคิดไปทุ่มเทได้อีกหลายเรื่อง

----------------------------------------------
เมื่อวานวันอาทิตย์

พระเจ้าก็สัมผัสใจ เรื่องการพักสงบไว้วางใจในพระเจ้า อีกครั้ง
เสียงของพระเจ้ามาถึงจิตใจว่า "Things in needs or things in wants"
สิ่งที่จำเป็นกับชีวิตของเรา พระเจ้าผู้ทรงจัดสรร พระองค์ได้จัดเตรียมไว้ให้เราแล้ว พระองค์ทรงใส่ใจดูแลเรา แม้แต่ผมของเรา พระองค์ก็ทรงนับไว้แล้วทุกเส้น ไว้วางใจพระเจ้าในสิ่งจำเป็นของชีวิต
แต่สำหรับสิ่งที่เรามีความปรารถนาต้องการ ให้เรา ขอ จากพระเจ้า พระองค์ผู้ทรงเปี่ยมความเมตตาอาจจะประทานจากคลังของพระองค์ให้เรา

รวมทั้งคำเผยพระวจนะในรอบ เรื่อง การถูกปลูกไว้ริมน้ำ เพื่อเป็นพระนิเวศน์ของพระเจ้า ท่ามกลางข่าวลือแห่งสงคราม เราเองจะเติบโตและเกิดผลตามฤดูกาล หรือ เรื่องของภาพเด็กน้อยในเปล เหล่านี้ล้วนย้ำเตือนจิตใจให้เกิดความไว้วางใจพระเจ้ามากขึ้นเต็มเปี่ยมจริงๆ

นั่งมองแผนชีวิต สิ่งที่ตัวเองเขียนไว้ ไม่รู้จริงๆว่าจะทำได้ตามนั้นหรือเปล่า แต่ก็ตั้งใจ และมั่นใจว่าเหล่านี้ล้วนเริ่มต้นจากพระเจ้า ทำให้มีความเชื่อว่า พระองค์จะทรงทำให้สำเร็จด้วย

ไม่ทันข้ามคืน มีการปรับโครงสร้าง หนึ่งในสิ่งที่ผมนึกไม่ออกว่าจะเกิดขึ้นได้อย่างไร สำเร็จไปแล้วหนึ่งสิ่ง พระเจ้าให้ผมดูแลคน 2 คน

----------------------------------------------
สดๆร้อนๆ คงเมื่อเช้า ตื่นมานั่งอธิษฐานกับพระเจ้าจริงจัง จริงๆก็เริ่มจริงจังขึ้นมากตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว พระเจ้าบอกว่า "โฟกัสให้ถูกจุด" โฟกัสเบลอ มองเห็นพระเจ้าไม่ชัด ความไว้วางใจพระเจ้าจะน้อย
ที่สำคัญ เช้านี้เห็นเลยว่าพระเจ้าจัดเตรียม ผมเจอแล้ว ร้านข้าวรสชาติดี ทำใหม่ๆ ไม่เก็บค้างคืน อยู่บนเส้นทางการเดินทาง กินพออิ่มและราคาไม่เกินยี่สิบบาท ขอบคุณพระเจ้า เพียงต้องตื่นเช้าขึ้นเท่านั้นเอง แต่ไม่มีปัญหา สองอาทิตย์ที่ผ่านมา ชีวิตเริ่มกลับสู่ภาวะปกติมากขึ้น เริ่มตื่นเช้าขึ้นได้สบายๆ อาบน้ำ เฝ้าเดี่ยว กินข้าวเช้า โอว เป็นอีกช่วงชีวิตหนึ่งที่ดีนะเนี่ย ^^

วันพฤหัสบดีที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2552

ใส่ใจห่วงใย

จะดีแค่ไหนนะ ถ้ามีคนที่รัก ใส่ใจ ห่วงใยเราเสมอ และคงจะยิ่งดีไปกว่านั้น ที่คนๆนั้น คือ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

อาจจะด้วยว่าช่วงนี้มีเรื่องราวหลั่งไหลเข้ามาให้รู้สึกหัวใจว้าวุ่นอยู่เป็นระยะ ทั้งเรื่องพ่อเข้าโรงพยาบาลผ่าตัด เรื่องเรียน เรื่องเงิน เรื่องคริสตจักร เรื่องงาน เรื่องสุขภาพ รวมทั้งเรื่องคู่ครองในอนาคต แต่ละเรื่องก็จะมีประเด็นปลีกย่อยที่เต็มไปด้วย unknown factor ข้อมูลไม่พอที่จะคิดวิเคราะห์หาทางออก ไม่รู้จะเดินหน้าต่อไปอย่างไร แต่ก็รู้ว่าต้องไปต่อ

เช้านี้ตื่นมานั่งอธิษฐาน พระเจ้าสัมผัสใจว่า จงละความกระวนกระวายใจไว้กับพระเจ้า เพราะพระเจ้าทรงห่วงใยเรา

ลองเปิดๆอ่านพระคัมภีร์ดู Casting all your care upon him; for he careth for you

ให้เราบอกสิ่งที่เราเป็นห่วงกับพระเจ้า เพราะพระเจ้าเป็นห่วงเรา เป็นตรรกะที่ซาบซึ้งใจมากจริงๆ พระองค์ไม่เพียงใส่ใจเรา ห่วงใยเรา แต่เพราะห่วงใยเรานี่แหล่ะ ถึงใส่ใจห่วงใยในคนหรือสิ่งที่เราห่วงใยด้วย โอว... ซาบซึ้งๆ

ยิ่งนั่งสำรวจดูคำว่า กระวนกระวาย ในพระคัมภีร์ สิ่งที่ยิ่งพบเจอในพระคัมภีร์ กลับทำให้จิตใจ นิ่ง มากขึ้นเสียอีก

ลองมาดูกันนะ

1พงศาวดาร 21:13 "เรามีความกระวนกระวายมาก ขอให้เราตกเข้าไปอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า เพราะพระกรุณาคุณของพระองค์ใหญ่ยิ่งนัก แต่ขออย่าให้เราตกเข้าไปในมือของมนุษย์เลย" - เหตุการณ์ที่ดาวิดยอมรับผิด และต้องเลือก ว่าจะรับการลงโทษจากพระเจ้าอย่างไร เตือนใจผมว่า แม้พระเจ้าจะเข้มงวดจริงจังเพียงใด แต่พระคุณของพระองค์ก็ใหญ่หลวงนัก... พระองค์ทรงเป็นคุณพ่อใจดี แต่เข้มงวด

สุภาษิต 24:19 เจ้าอย่ากระวนกระวายเพราะคนกระทำบาป และอย่ามีใจริษยาคนชั่วร้าย - ไม่ต้องห่วง พระเจ้าทรงยุติธรรม ทุกคนจะได้รับผลตามการกระทำของเขา

สุภาษิต 12:25 ความกระวนกระวายของคนถ่วงเขาลง แต่ถ้อยคำที่ดีกระทำให้เขาชื่นชม - มัวแต่กลัวกังวลเป็นห่วงโน่นนี่ ก็ไม่ได้ทำอะไรสักที ชีวิตก็มีแต่จะถดถอยลง

มัทธิว 6
"เหตุฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่ากระวนกระวายถึงชีวิตของตนว่า จะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม และอย่ากระวนกระวายถึงร่างกายของตนว่า จะเอาอะไรนุ่งห่ม ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหารมิใช่หรือ และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่มมิใช่หรือ"
"ท่านกระวนกระวายถึงเครื่องนุ่งห่มทำไม จงพิจารณาดอกไม้ที่ทุ่งนาว่า มันงอกงามเจริญขึ้นได้อย่างไร มันไม่ทำงานมันไม่ปั่นด้าย"
"มีใครในพวกท่านโดยความกระวนกระวาย อาจต่อชีวิตให้ยาวออกไปอีกสักศอกหนึ่งได้หรือ"

"เหตุฉะนั้นอย่ากระวนกระวายว่า จะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม หรือจะเอาอะไรนุ่งห่ม"
"เหตุฉะนั้น อย่ากระวนกระวายถึงพรุ่งนี้ เพราะว่าพรุ่งนี้คงมีการกระวนกระวายสำหรับพรุ่งนี้เอง แต่ละวันก็มีทุกข์พออยู่แล้ว" - ขั้นเทพมาก คนที่เชื่อในความจริงของพระคัมภีร์ข้อนี้ จะใช้ชีวิตได้เหนือความวิตกปกติของมนุษย์ทั่วไป เหอ เหอ ใครจะต่อชีวิตตัวเองได้

"มารธา มารธาเอ๋ย เธอกระวนกระวายและร้อนใจด้วยหลายสิ่งนัก" - จำได้ใช่ไหม มารีย์เลือกสิ่งที่ดีที่สุดของเธอแล้ว ลึกซึ้งครับ

เยเรมีย์ 17:8 "เขาเป็นเหมือนต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมน้ำ ซึ่งหยั่งรากของมันออกไปข้างลำน้ำ เมื่อแดดส่องมาถึงก็ไม่กลัว เพราะใบของมันคงเขียวอยู่เสมอ และไม่กระวนกระวายในปีที่แห้งแล้ง เพราะมันไม่หยุดที่จะออกผล" ไม่ว่าจะอย่างไร การใกล้ชิดติดหนึบแนบในสนิท ก็จะทำให้เรารู้ว่า ไม่ว่าสถานะการณ์จะเป็นอย่างไร พระเจ้ารักห่วงใยใส่ใจเรามิเคยคลาดคลาย

ขอบคุณพระเจ้าครับ วันนี้ การเดินทางยามเช้าท่ามกลางมนุษย์เงินเดือนทั้งหลายที่หน้านิ่วคิ้วขมวด... ผมกำลังอมยิ้มอยู่

วันอังคารที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2552

บรรจุ...

22 "เพราะฉะนั้นจงกล่าวแก่พงศ์พันธุ์อิสราเอล พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย เรากำลังจะกระทำอยู่แล้ว ไม่ใช่เพื่อเห็นแก่เจ้า แต่เพราะเห็นแก่นามบริสุทธิ์ของเรา ซึ่งเจ้าได้กระทำให้สาธารณ์ท่ามกลางประชาชาติซึ่งเจ้าเข้าไปอยู่นั้น
23 และเราจะกระทำให้ความบริสุทธิ์แห่งนามใหญ่ยิ่งของเราปรากฏคืนมา ซึ่งเป็นสาธารณ์อยู่ท่ามกลางประชาชาติ และซึ่งเจ้ากระทำให้สาธารณ์ท่ามกลางเขา และประชาชาติทั้งหลายจะทราบว่า เราคือพระเจ้า พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ เมื่อเราสำแดงความบริสุทธิ์ของเราท่ามกลางเจ้าต่อหน้าต่อตาของเขาทั้งหลาย
24 เพราะว่าเราจะเอาเจ้าออกมาจากท่ามกลางประชาชาติและรวบรวมเจ้ามาจากทุกประเทศ และนำเจ้าเข้ามาในแผ่นดินของเจ้าเอง
25 เราจะเอาน้ำสะอาดพรมเจ้า และเจ้าจะสะอาดพ้นจากมลทินทั้งหลายของเจ้า และเราจะชำระเจ้าจากรูปเคารพทั้งหลายของเจ้า
26 เราจะให้ใจใหม่แก่เจ้าและเราจะบรรจุจิตวิญญาณใหม่ไว้ในเจ้า เราจะนำใจหินออกไปเสียจากเนื้อของเจ้า และให้ใจเนื้อแก่เจ้า
27 และเราจะใส่วิญญาณของเราภายในเจ้าและกระทำให้เจ้าดำเนินตามกฎเกณฑ์ของเรา และให้รักษากฎหมายของเราและกระทำตาม
28 เจ้าจะอาศัยอยู่ในแผ่นดินซึ่งเราให้แก่บรรพบุรุษของเจ้า และเจ้าจะเป็นประชากรของเราและเราจะเป็นพระเจ้าของเจ้า
29 เราจะช่วยกู้เจ้าให้พ้นมลทินทั้งหลายของเจ้า และเราจะเรียกข้าวมา และกระทำให้อุดมสมบูรณ์ และจะไม่ให้เจ้าเกิดความอดอยากเลย
30 เราจะกระทำให้ผลของต้นไม้และไร่นาอุดมสมบูรณ์ เพื่อเจ้าจะไม่ต้องทนรับความอับอายขายหน้าเพราะความอดอยากท่ามกลางประชาชาติอีกเลย
31 แล้วเจ้าจะระลึกถึงทางที่ชั่วของเจ้า และการกระทำของเจ้าที่ไม่ดีแล้วเจ้าจะเกลียดตัวเจ้าเอง เพราะความบาปชั่วของเจ้า และการกระทำลามกของเจ้า
32 พระเจ้าตรัสว่า ที่เรากระทำนั้นมิใช่เพราะเห็นแก่เจ้า ขอให้เจ้าทราบเสีย พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย จงอับอายและขายหน้าด้วยเรื่องทางของเจ้าเถิด


เมื่อเช้านั่งอธิษฐานกับพระเจ้าอยู่ ก็มีคำว่า "บรรจุ" ขึ้นมาในจิตใจ แล้วก็นึกถึงพระธรรมตอนนี้ ก็เลยมานั่งคร่ำครวญ เอ้ย ใคร่ครวญ ขอความเข้าใจจากพระเจ้า ตามนี้ครับ

พระเจ้า เป็นผู้รื้อฟื้นชุมชนของพระองค์

พระองค์รื้อฟื้นอย่างไร

1. การรื้อฟื้นเป็นพระประสงค์ เป็นความตั้งใจของพระองค์ (22) ทรงรื้อฟื้นเพื่อพระองค์เอง ทรงรื้อฟื้นในขณะที่เรายังเป็นคนบาปและกระทำการให้พระนามของพระองค์ถูกลบหลู่
2. การรื้อฟื้นเริ่มต้นขึ้น เมื่อพระองค์สำแดงความบริสุทธิ์ของพระองค์แก่ประชากรของพระองค์ (23)
3. พระเจ้าจะนำเราให้ไปอยู่ในที่ของเรา (24)
4. พระเจ้าจะทรงชำระเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงทำงานในใจของเรา (25)
5. พระเจ้าจะทรงนำใจใหม่ ซึ่งเป็นใจที่มีชีวิตสดใหม่ มาใส่ไว้ให้เราแทนใจเดิมซึ่งแข็งกระด้างตายแล้ว (26)
6. พระเจ้าจะทรงประทานจิตใจ หรือ ความปรารถนาของพระองค์ให้กับเรา (27) ในการเชื่อฟังและกระทำตามพระบัญญัติของพระเจ้า
7. พระเจ้าจะสถาปนาความสัมพันธ์กับเราอีกครั้ง (28) สิทธิและหน้าที่ต่างๆจะกลับคืนมา แน่นอนว่ารวมถึงพระพรด้วย (อ่านต่อได้ในข้อหลังจากนี้)
8. พระเจ้าจะทรงปกป้อง และดูแลในความจำเป็นของเรา (29) ดั่งเช่น ที่เคยทรงดูแลเลี้ยงดู อิสราเอลในถิ่นทุรกันดาร ด้วย มานา
9. พระเจ้าจะเป็นผู้ประทานศักดิ์ศรี และการเกิดผลแก่เรา (30) เพื่อที่ตัวเราจะไม่ต้องอับอายอีกต่อไป
10. พระเจ้าจะทำให้เราระลึกถึงความเลวร้ายในวันที่เราได้รับผลตามการประพฤติที่ชั่วร้ายของเรา (31-32) เพื่อให้เราตระหนักถึงพระคุณของพระเจ้า และเจียมตัวในความกรุณาของพระองค์

จริงๆนะ ที่ลืมตาอ้าปาก หัวเราะร่ามีความสุข ได้ในทุกวันนี้ ก็เพราะพระเจ้ามิใช่หรือ อย่าลืมซะล่ะ ว่าทุกสิ่งล้วนเป็นมาโดยพระคุณพระเจ้าแม้แต่ความสามารถของเรา ทั้งหมดทั้งสิ้น พระเจ้าประทานให้ เพื่อที่จะมิให้เราคนใดคนหนึ่งอวดได้

วันจันทร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2552

ก่อนจะเตือนใคร...

มีน้องคนหนึ่ง เพื่อนบ้านแถวๆนี้ อ่านพระคัมภีร์แล้วไม่เข้าใจ ก็เลยลองไปอ่านดูบ้าง เห็นว่าน่าสนใจ ขอเอามาลงแบ่งปันไว้ที่นี่ด้วยนะ

มธ.7:1-6

1 "อย่ากล่าวโทษเขา เพื่อพระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษท่าน
2 เพราะว่าท่านทั้งหลายจะกล่าวโทษเขาอย่างไร พระเจ้าจะทรงกล่าวโทษท่านอย่างนั้น และท่านจะตวงให้เขาด้วยทะนานอันใด พระเจ้าจะได้ทรงตวงให้ท่านด้วยทะนานอันนั้น
3 เหตุไฉนท่านมองดูผงที่ในตาพี่น้องของท่าน แต่ไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาของท่าน ท่านก็ไม่รู้สึก
4 เหตุไฉนท่านจะกล่าวแก่พี่น้องว่า "ให้เราเขี่ยผงออกจากตาของเธอ" แต่ที่จริงไม้ทั้งท่อนมีอยู่ในตาของท่านเอง
5 ท่านคนหน้าซื่อใจคด จงชักไม้ทั้งท่อนออกจากตาของท่านก่อน แล้วท่านจะเห็นได้ถนัด จึงจะเขี่ยผงออกจากตาพี่น้องของท่านได้
6 "อย่าให้ของประเสริฐแก่สุนัข อย่าโยนไข่มุกให้แก่สุกร เกลือกว่ามันจะเหยียบย่ำเสีย และจะหันกลับมากัดตัวท่านด้วย

หากพิจารณาทั้งบริบทตั้งแต่ข้อ1-6 เราจะพบว่า พระเยซูกำลังสอนเราเรื่อง ท่าทีในการเตือนคน
โดยแบ่งเป็น 2 หมวด

หมวดแรก พิจารณาท่าทีตนเอง
1. ผู้จะเตือนคนอื่นต้องรู้หลักการและความจริงในเรื่องนั้นๆที่จะเตือน (ข้อ1-2)การที่เราจะกล่าวโทษผู้อื่นได้ นั่นคือ เราต้องรู้ว่าสิ่งใดถูก/ผิดก่อน นั่นคือ เราต้องรู้หลักการและความจริง
2. เตือนด้วยใจปรารถนาช่วยเหลือ มิใช่ทำร้ายทำลายกัน "อย่ากล่าวโทษ"
3. เตือนด้วยการสำนึกว่าเราจะต้องรับผิดชอบการเตือนนี้กับพระเจ้า (ข้อ 2)
4. เตือนด้วยใจถ่อม สำนึกว่าเราทั้งหลายต่างมีโอกาสสามารถทำผิดพลาดได้ (ไม่ได้คิดว่าฉันดีกว่าเธอ)(ข้อ 3)
5. เตือนคนอย่างสมจริงสมจัง (ไม่เตือนคนอย่างเพ้อเจ้อ) (ข้อ4) เข้าใจบริบทของเขาตามความเป็นจริง หากไม้ทั้งท่อนยังอยู่ในตาของเรา เราจะเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามจริงได้อย่างไร นอกจากเห็นตามที่เราคิดเอาเองว่าจริง
6. เตือนคนด้วยชีวิต (ข้อ 5) การชักไม้ออกจากตา เล็งถึงการกลับใจใหม่ การเตือนที่มีพลัง เกิดจากการเตือนของคนที่มีชีวิตอยู่ในความจริง ระดับความจริงในชีวิตสูงกว่า สิทธิอำนาจในความจริงสูงกว่า จึงสามารถนำความจริงนั้นมา ปลดปล่อย ผู้อื่นได้

หมวดสอง พิจารณาท่าทีของผู้ที่เราจะเตือน
7. เตือนผู้ที่รับฟังคำเตือน (ข้อ6)
ของบริสุทธิ์หรือของประเสริฐ กับ ไข่มุก เล็งถึง หลักการและความจริงของข่าวประเสริฐ ในข้อนี้ พระคัมภีร์กำลังให้น้ำหนักถึงการไม่ควรกล่าวเตือน/แนะนำ แก่คนที่จมปลักอยู่ในความเลวทราม เพราะเขาจะรับมันด้วยความรู้สึกดูถูกเหยียดหยามคำเตือนและหันกลับมาตำหนิเราผู้เตือนด้วย เราพบว่าในพระธรรม สุภาษิต ก็มีการกล่าวถึงเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน เช่น สภษ.9:8 "..อย่าตักเตือนคนมักเยาะเย้ย เพราะเขาจะเกลียดเจ้า.."

เคยมีคนบอกว่า การใช้ความจริง กับความรัก ต้องใช้คู่กันอย่างเหมาะสม จึงจะเกิดประสิทธิภาพสูงสุด แต่หากใช้ไม่เป็นจะเป็นการลดทอนผลซึ่งกันและกัน
เมื่อก่อนสิ้นปี ประเด็นนี้ก็วนกลับมาสู่ความคิดอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่เข้าใจอะไรเพิ่มมากขึ้น จนได้ใคร่ครวญพระธรรมตอนนี้ในวันนี้

ผมเข้าใจมากขึ้นว่า วิธีการในการใช้ความจริงกับความรักด้วยกัน คือ การใช้สิทธิอำนาจในความจริงด้วยหัวใจที่รักและปรารถนาดีต่อผู้นั้น น่าจะเป็นหนทางที่เหมาะสมที่สุด เท่าที่ผมเข้าใจในเวลานี้

วันเสาร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2552

เอาจริง

วันนี้ นั่งอ่าน พระธรรม อาโมส
ให้รู้สึกว่า พระเจ้า...เอาจริง
ทำอะไรไว้ แล้วไม่กลับใจ พระเจ้าเช็คบิลเรียบ ไม่เว้นว่าจะใกล้หรือไกล จะโปรดหรือไม่โปรด เก่งหรือไม่เก่ง โดนหมด

พระเจ้าบอกว่าจะทำอะไร อย่างไร พระองค์ก็ทรงกระทำอย่างนั้น แม้มีคนต่อรองแล้ว ทรงกลับพระทัย สำแดงกรุณา ก็ทรงบอกอย่างนั้น ทำอย่างนั้น ในพระเจ้าไม่มีผันแปร
นึกถึงตอนอับราฮัมต่อรองกับพระเจ้าเนาะ แหม ช่างกล้า

อ่านแล้วให้เกิดความยำเกรงพระเจ้า "จงแสวงหาพระเจ้าและดำรงชีวิตอยู่"

นึกถึงเรื่องที่เกิดกับคริสตจักร ผมคิดว่า พระธรรมอาโมส อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว และสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ดี แน่นอนว่ารวมถึงสิ่งที่เราควรทำในเวลานี้ด้วย

ท้ายสุดชำระคดีความกันเสร็จสิ้น ก็ทรงประทานพระสัญญา นำสวัสดิภาพกลับสู่วิถีชีวิตปกติ แน่ล่ะ แผนงานของพระเจ้าก็มีเพื่อสวัสดิภาพนี่นา ไม่ใช่เพื่อทุกขภาพเสียหน่อย เพื่อนำอนาคตที่เราหวังใจไว้มาให้ในที่สุด

For I know the thoughts that I think toward you, saith the Lord, thoughts of peace, and not of evil, to give you an expected end. Jeremiah 29:11

"อยู่ใน"

บทเรียนแรกที่พระเจ้าสอนในปี 2009 มาจาก พระธรรม 2โครินธ์.5:17
Therefore if any man be in Christ, he is a new creature: old things are passed away; behold, all things are become new.
เงื่อนไขเดียวของการเป็นคนใหม่ เงื่อนไขเดียวที่สิ่งเก่าๆจะผ่านพ้นไป เงื่อนไขเดียวที่ทุกสิ่งจะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งสิ้น คือ การที่คนคนนั้น อยู่ในพระคริสต์

ขณะที่ ฟิลิปปี 4:13 บอกเราว่า I can do all things through Christ which strengtheneth me.
พระคัมภีร์ข้อนี้บอกว่า ฉันสามารถทำทุกอย่างได้ ผ่านพระคริสต์ผู้เสริมกำลังแก่ฉันจากข้างใน... อะ พระเยซูไปกระทำกิจจากภายในชีวิตของเราซะแล้ว

ใน ยอห์น 15:4-5 บอกเรื่องสำคัญซึ่งเป็น "ผล" ของการ "อยู่ใน" พระคริสต์ไว้ อย่างชัดเจน
4 Abide in me, and I in you. As the branch cannot bear fruit of itself, except it abide in the vine; no more can ye, except ye abide in me.
5 I am the vine, ye are the branches: He that abideth in me, and I in him, the same bringeth forth much fruit: for without me ye can do nothing.
(จริงมีแถมไว้ให้ในข้อ 6-7 ด้วยว่า คนที่ไม่ "อยู่ใน" จะได้รับผลอย่างไร และคนที่ "อยู่ใน" พระคริสต์ และ มีถ้อยคำของพระคริสต์อยู่ในชีวิต สิ่งที่เขาขอนั้น พระองค์จะทรงกระทำให้สำเร็จ
6 If a man abide not in me, he is cast forth as a branch, and is withered; and men gather them, and cast them into the fire, and they are burned.
7 If ye abide in me, and my words abide in you, ye shall ask what ye will, and it shall be done unto you.)

หากเรา "อยู่ใน" พระคริสต์ เราจะเกิดผล "มาก" ในทางตรงกันข้าม เราไม่สามารถทำสิ่งใดได้เลย แล้วทำไมเราถึงทำอะไรไม่ได้เลย ใน พระธรรม เอเฟซัส 6:12 บอกเราไว้ว่า
For we wrestle not against flesh and blood, but against principalities, against powers, against the rulers of the darkness of this world, against spiritual wickedness in high places.
นั่นสินะ ตั้งแต่ที่อาดัมทำบาป และความบาปก็สืบถ่ายมาสู่มนุษย์หมดทั้งโลก คนเราจึงเกิดมาในบาป เกิดมาในการปกครองของวิญญาณชั่วร้าย การ "อยู่ใน" พระคริสต์ จึงเป็นหนทางเดียว ในการหลุดพ้นจากพันธนะ แล้วชีวิตของเรา จะกลายเป็นสิ่งใหม่ๆทั้งสิ้น

อยากเห็นชีวิตตัวเองเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น อยากเป็นคนใหม่ เป็นตัวของตัวเองจริงๆ จงเข้ามา "อยู่ใน" พระคริสต์เสียแต่เดี๋ยวนี้