วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Fellowship Series #0: Introduction

หลังจากที่มีการปรับโครงสร้าง และไปเข้าร่วมกลุ่มสามัคคีธรรมกลุ่มใหม่ + ได้รับผิดชอบดูแลงานพัฒนาของโซน
ก็เลยคิดถึงกลุ่มสามัคคีธรรมที่เคยทำกับเพื่อนๆเมื่อหลายปีก่อน ซึ่ง ณ เวลานั้น เป็นพรกับคนได้มากกว่า 20 ชีวิต จนถึงทุกวันนี้

ผมเชื่อว่า สิ่งสำคัญ คือ เรื่องรากฐาน ความคิด ความเข้าใจ ไม่มีใครโง่เกินไปกว่าจะเรียนรู้ได้ (และไม่มีใครฉลาดกว่าคนอื่นโดยสมบูรณ์ด้วย... พระเจ้าแล้วนั่น) ผมเชื่อว่าเรื่องสำคัญที่สุด ที่เราควรเรียนรู้เสมอ คือ เรื่องชีวิตของเราเอง
สิ่งสำคัญมากกว่าเราทำอะไร คือเราเป็นอะไร และเราเป็นในสิ่งที่เราคิดครับ

กลุ่มสามัคคีธรรมย่อย มุมหนึ่ง คือภาพสะท้อนในการดำเนินชีวิตของเรา ซึ่งมีผลอย่างมหาศาลทั้งในปัจจุบันวันนี้ และวันหน้า
ยิ่งแต่ละคนแข็งแรง กลุ่มก็แข็งแรง ครอบครัวของเราแต่ละคนก็แข็งแรง ชุมชนก็แข็งแรง คริสตจักรท้องถิ่นก็แข็งแรง คริสตจักรสากลก็แข็งแรง อาณาจักรของพระเจ้าก็แข็งแรง หากถึงวันนั้น สวรรค์เป็นอย่างไร ก็คงเป็นอย่างนั้นในแผ่นดินโลก

ตั้งใจอยากจะเห็นวันหนึ่ง กลุ่มแคร์ เป็นกลุ่มที่ทุกคนอยากมาให้อะไรสักอย่าง อย่างน้อยกับใครสักคน เป็นที่ๆคนคิดถึง และเขาอยากมา ใครก็อยากมา ใครก็อยากชวนเพื่อนมา มาแล้วได้รับกำลัง ได้รับอะไรๆกลับไป โดยไม่ต้องพยายามมองหา อยากให้เป็นอย่างนั้น... เป็นที่ๆอุดมไปด้วยการอวยพรของพระเจ้า

ระยะเวลาสองเดือนในการสอน สัปดาห์ละสองครั้งที่วางแผนไว้ ในการปูรากฐานความคิดของชีวิตคริสเตียนพื้นฐาน เพื่อที่ครั้งสุดท้าย จะสอนวิธีการทำแคร์ คงไม่มากไม่น้อยเกินไป แล้วช่วง เม.ย.-พ.ค. จะให้ทุกคนเริ่มลงมือทำกันจริงจังแล้วครับ ขอให้ทุกคนเรียนรู้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้นะครับ ไม่มีใครรู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น แต่พระคัมภีร์บอกเราว่า มือของเจ้าจับกระทำงานใด จงกระทำด้วยเต็มกำลังของเจ้า, จงเร่งทำงานในเวลากลางวัน เวลามืดกำลังจะมา และจงทำทุกอย่างด้วยความรัก ใช่ครับ เพราะไม่เพียงความรักจะผูกพันให้ทุกอย่างไปสู่ความสมบูรณ์ แต่ความรัก... ใหญ่ที่สุดครับ

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

ป.ล. มีคนถามว่ากำลังทำอะไรอยู่ ก็เลยเขียน คำนำนี้ขึ้นมา จะได้รู้ว่า ผมมีเป้าหมายอะไร ผมก็ย้ำเสมอๆนะว่า ผมกำลังสอน "การทำแคร์"

วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Fellowship Series #3: ชีวิตที่สมดุลย์

"พระเยซูก็ได้จำเริญขึ้นในด้านสติปัญญา ในด้านร่างกาย และเป็นที่ชอบจำเพาะพระเจ้า และต่อหน้าคนทั้งปวงด้วย" ลูกา 2:52

ก่อนพระเยซูจะทรงเริ่มพระราชกิจของพระองค์เรารู้ประวัติของพระองค์น้อยมาก ในพระกิตติคุณมีเพียงพระธรรมลูกาเท่านั้นที่บันทึกไว้ และข้อสุดท้ายที่กล่าวถึงช่วงวัยชีวิตของพระเยซูใน 30 ปีแรกก่อนเริ่มพระราชกิจ ก็คือข้อดังกล่าวข้างต้น

ประเด็นหลักคือ พระเยซูเติบโตขึ้น พระเยซูจำเริญขึ้นใน 4 ด้าน ได้แก่

1. ฝ่ายสติปัญญา wisdom not smart nor clever
สติปัญญานี้ ไม่ใช่ปัญญาแบบโลก
1โครินธ์ 3:18 อย่าให้ผู้ใดหลอกลวงตัวเอง ถ้าผู้ใดในพวกท่านคิดว่า ตัวเป็นคนมีปัญญาตามหลักของยุคนี้ จงให้ผู้นั้นยอมเป็นคนโง่ จึงจะเป็นคนมีปัญญาได้

สติปัญญาแบบพระเจ้าเป็นเช่นไร
ยากอบ 3:17 แต่ปัญญาจากเบื้องบนนั้นบริสุทธิ์เป็นประการแรก แล้วจึงเป็นความสงบสุข สุภาพและว่าง่าย เปี่ยมด้วยความเมตตาและผลที่ดี ไม่ลำเอียง ไม่หน้าซื่อใจคด
หลักคิดของพระเจ้านั้นเรียบง่าย(simple)แต่ไม่ง่ายง่าย(easy) ครบถ้วน(complete)แต่ไม่ซับซ้อน(complicate)

ความยำเกรงพระเจ้าเป็นที่เริ่มต้นของสติปัญญาแบบพระเจ้า หรืออีกนัยหนึ่ง ยิ่งยำเกรงพระเจ้ามากขึ้น ยิ่งได้รับและเติบโตในสติปัญญาของพระองค์มากขึ้น
สุภาษิต 1:7 ความยำเกรงพระเจ้า เป็นบ่อเกิดของความรู้
สุภาษิต 9:10 ความยำเกรงพระเจ้า เป็นที่เริ่มต้นของปัญญา

2. ฝ่ายกายภาพ stature
แม้ร่างกายนี้จะเป็นเพียงที่อยู่ชั่วคราวของเรา
2คร.5:1 เพราะเรารู้ว่า ถ้าเรือนดินคือกายของเรานี้จะพังทำลายเสีย เราก็ยังมีที่อาศัยซึ่งพระเจ้าทรงโปรดประทานให้ ที่มิได้สร้างด้วยมือมนุษย์ และตั้งอยู่เป็นนิตย์ในสวรรค์

แต่ตราบเท่าที่เรายังดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้ จิตวิญญาณ ยังคงต้องพึ่งพาฝ่ายกายภาพ เราไม่สามารถไปไหนได้เฉพาะแต่จิตวิญญาณ โดยที่ร่างกายมิได้ไปด้วยได้

ดังนั้นแล้วเราจึงต้องดูแลร่างกายของเราให้ดี เพื่อเป็นพาหนะนำพาจิตวิญญาณของเราไปกระทำกิจบนโลกใบนี้ ให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ ไปให้ถึงยังจุดหมายปลายทาง
ดูแลสุขอนามัยพื้นฐาน กินอาหารที่ดีมีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารกินไว ไขมันสูง กินข้าวเช้า ไม่กินก่อนนอน นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกาย ตรวจสุขภาพประจำปี ท่องเที่ยวพักผ่อนตามโอกาสอำนวย

จิตวิญญาณที่แข็งแกร่ง ย่อมอาศัยอยู่ในร่างกายที่แข็งแรง

3. ฝ่ายจิตวิญญาณ favour to God
เป็นที่ชอบใจในสายตาของพระเจ้า เป็นผู้ที่ดำเนินตามพระดำรัสของพระเจ้า
เราจะลงรายละเอียดเรื่องนี้ ใน ชีวิตที่พระเจ้าโปรดปราน (pleased life) อีกครั้งหนึ่ง

การเติบโตขึ้นทางฝ่ายจิตวิญญาณ โดยการกินอาหารฝ่ายวิญญาณ คือ การเรียนรู้ที่จะกระทำตามพระทัยของพระเจ้า
เราจะลงรายละเอียดเรื่องนี้ ใน อาหารแห่งวิญญาณจิต (spiritual foods) อีกครั้งหนึ่ง
ยอห์น 4:34 พระเยซูตรัสกับเขาว่า "อาหารของเราคือการกระทำตามพระทัยของพระองค์ ผู้ทรงใช้เรามา และทำให้งานของพระองค์สำเร็จ"

4. ฝ่ายสังคม favour to man
เป็นที่ชื่นชอบในสายตามนุษย์ เป็นคนมีชื่อเสียงดี ประกอบสัมมาชีพ ดูแลตัวเอง ช่วยเหลือผู้อื่นได้
กษัตริย์ซาโลมอน ผู้ที่ได้ชื่อว่าฉลาดที่สุดในโลกนี้ ก็ยังให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เอาไว้
สุภาษิต 3:4 ดังนั้น เจ้าจงหาความพอใจ และชื่อเสียงดี ในสายพระเนตรพระเจ้า และในสายตามนุษย์
สุภาษิต 22:1 ชื่อเสียงดีเป็นสิ่งควรเลือกยิ่งกว่าความมั่งคั่งมากมาย
ปัญญาจารย์ 7:1 ชื่อเสียงดีก็ประเสริฐกว่าน้ำมันหอมอย่างวิเศษ

การเติบโตทางสังคม คือ การเรียนรู้จักการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น การมีมารยาททางสังคม ไม่เพียงเป็นคนที่เข้าอกเข้าใจคนอื่น(understaning) แต่เรียนรู้ที่จะเห็นอกเห็นใจคนอื่น (sympathy) รู้จักคบหาสมาคมคนอื่น พัฒนาบุคลิกภาพ การพูด การวางตัวในสังคม มีความจริงใจ จิตใจดีงาม เบิกบานใจ เป็นที่ชอบใจแก่คนที่พบเห็น

เราดำเนินชีวิตอยู่ในโลก มีผลต่อโลก แต่ไม่เป็นของโลก ดุจดังเกลือแห่งแผ่นดินโลก เป็นดั่งตัวแทนของพระเจ้าในโลกนี้ ที่จะนำโลกกลับมาหาพระเจ้า ชีวิตที่สำแดงออกถึงพระศิริของพระเจ้า มีปฏิสัมพันธ์กับชุมชนคนในสังคม

การเติบโตทั้ง 4 ด้านนี้ เปรียบเหมือนใบพัดกังหันลม ที่ยึดติดอยู่ด้วยกันประกอบกันขึ้นเป็นชีวิต
การเติบโตขึ้นในด้านใดด้านหนึ่ง มีผลทางอ้อมต่อการเติบโตในด้านอื่นด้วย ทำนองกลับกัน การไม่เติบโตในด้านใดด้านหนึ่ง ก็จะเป็นการเหนี่ยวรั้งต่อการเติบโตของด้านอื่นๆด้วย
กังหันลมที่สามารถใช้การได้ดี ควรมีขนาดของใบพัดที่เท่าๆกันฉันใด ชีวิตที่ดีก็ควรมีระดับการเติบโตในด้านต่างๆใกล้เคียงกันฉันนั้น

แกนของกังหันลมนี้ หากเปรียบก็จะเหมือนกับชีวิตของมนุษย์ ก่อนรู้จักพระเจ้า แกนนี้มีสภาพเป็นแกนดิน มนุษย์เป็นคนบาป ทำบาป และต้องรับผลของบาปนั้น แต่เมื่อเรารู้จักพระเจ้า เชื่อวางใจในการไถ่ของพระเยซูคริสต์ บังเกิดใหม่ ได้รับความรอด และชีวิตนิรันดร์เริ่มกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง เปรียบเหมือน แกนดินนี้ จะได้รับการเปลี่ยนเป็นแกนทองคำทันที แต่ยังมีร่องรอยของคราบโคลนดินติดอยู่ภายนอกบ้าง ซึ่งเป็นเพียงความเคยชินในพฤติกรรมนิสัยบาปของเราเท่านั้น เราสามารถปฏิเสธที่จะไม่ทำตามความเคยชินนั้นได้ บาปไม่ได้มีอำนาจเหนือเราอีกต่อไป ยอห์น 1:12-13
12 แต่ส่วนบรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ทรงประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า
13 ซึ่งในฐานะนั้นเป็นผู้ที่มิได้เกิดจากเลือดเนื้อ หรือกาม หรือความประสงค์ของมนุษย์ แต่เกิดจากพระเจ้า

แต่แม้การพลาดทำผิดบาป ก็ไม่ได้ทำให้เราเสียสถานะภาพที่เรามีอยู่ในพระเยซูคริสต์ สถานะที่เรา "เป็นใคร" ไม่เปลี่ยนแปลง แต่เราอาจเสียสิทธิบางอย่างจนกว่าเราจะกลับใจใหม่กับพระเจ้าในเรื่องบาปนั้นๆ

ในชีวิตของคริสเตียน พระเจ้าจึงมีกระบวนการพัฒนาเราผู้เชื่อ 2 กระบวน ผ่านทุกเหตุการณ์ตลอดชีวิตคริสเตียนของเรา คือ
1 กระบวนการชำระให้บริสุทธิ์ purification ล้างคราบไคล พฤติกรรมนิสัยเก่า เผยเนื้อแท้ในพระเจ้า
2 กระบวนการทำให้มีสง่าราศี glorification ขัดศรีฉวีวรรณ ผ่องส่องแสงเปร่งประกายแห่งพระศิริของพระเจ้าในชีวิต

ซึ่งทั้ง 2 กระบวนนี้ สิ่งสำคัญหลัก คือ พระวจนะคำพระเจ้า
ยอห์น 15:3 ท่านทั้งหลายได้รับการชำระให้สะอาดแล้วด้วยถ้อยคำที่เราได้กล่าวแก่ท่าน
ยอห์น 17:17 ขอทรงโปรดชำระเขาให้บริสุทธิ์ด้วยความจริง พระวจนะของพระองค์เป็นความจริง

มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาปจริง แต่ผู้เชื่อไม่ใช่คนบาปแล้ว เราเพียงยังคงมีความทรงจำและคุ้นเคยกับวิถีชีวิตที่ดำเนินในความผิดบาปเท่านั้น

หากมองกังหันลมนี้เป็นดั่งต้นไม้ จำเป็นที่ต้นไม้นี้ต้องวางรากลงบนคำสอนอันมีหลัก / ความจริงในพระเจ้า แล้วชีวิตของเขาจะจำเริญขึ้นเสมอตามฤดูกาลของพระเจ้า
สดุดี 1:3 เขาเป็นเช่นต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมธารน้ำ ซึ่งเกิดผลตามฤดูกาล และใบก็ไม่เหี่ยวแห้ง การทุกอย่างซึ่งเขากระทำก็จำเริญขึ้น

เมื่อใบทั้ง 4 เติบโต แข็งแรงขึ้น พระเจ้ายกชูชีวิตของเราขึ้น เปรียบเทียบภาพเหมือนการหมุนของใบพัดเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ ที่ช่วยยกตัวเครื่องบินขึ้น เมื่อชีวิตเราถูกยกขึ้น ศิลาแห่งความจริงของพระเจ้าที่เราปักแน่นอยู่ก็จะถูกยกชูขึ้นโดดเด่นต่อคนในสังคมและประชาชาติให้ได้เห็นอย่างเด่นชัด
มัทธิว 5:16 ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์

ดังนั้น ยิ่งผู้เชื่อแต่ละคนมีชีวิตที่สมบูรณ์เติบโตขึ้นอย่างสมดุลย์ในด้านต่างๆทั้ง 4 แกนหลักๆนี้ มากขึ้นเพียงใด คริสตจักรและพระเยซูคริสต์ผู้เป็นศีรษะของคริสตจักร ก็จะยิ่งสูงเด่น ได้รับเกียรติมากขึ้นเท่านั้น

** ใช้แบ่งปัน อ. 15 ก.พ. 2009 **

วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Fellowship Series #2: ทัศนคติ

กดว.13:21-33
21 คนเหล่านั้นจึงขึ้นไปสอดแนมแผ่นดิน ตั้งแต่ถิ่นทุรกันดารศิน จนถึงเรโหบ ที่ทางเข้าเมืองฮามัท
22 เขาขึ้นไปถึงเนเกบ ถึงเมืองเฮโบรน และอาหิมาน เชชัย และทัลมัย คือคนอานาคอยู่ที่นั่น (เมืองเฮโบรนนี้เขาสร้างมาก่อนเมืองโศอันในอียิปต์ได้เจ็ดปี)
23 เขาทั้งหลายมาถึงห้วยเอชโคล์ ที่นั่นเขาตัดองุ่นกิ่งหนึ่งมีองุ่นพวงหนึ่ง สองคนใช้ไม้คานหามมาเขาเก็บผลทับทิมและมะเดื่อมาบ้าง
24 เขาเรียกที่นั่นว่าห้วยเอชโคล์ {แปลว่า พวงผล} เพราะพวงผลองุ่นซึ่งคนอิสราเอลได้ตัดมาจากที่นั่น
25 ล่วงมาสี่สิบวันเขาทั้งหลายก็กลับมาจากการไปสอดแนมที่แผ่นดินนั้น
26 เขาทั้งหลายกลับมาถึงโมเสสและอาโรน และมาถึงชุมนุมชนอิสราเอล ในถิ่นทุรกันดารปารานที่คาเดช เขาเล่าเรื่องให้ท่านทั้งสอง และบรรดาคนอิสราเอลฟัง และให้ดูผลไม้แห่งแผ่นดินนั้น
27 เขาทั้งหลายเล่าให้โมเสสฟังว่า "ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ไปถึงแผ่นดิน ซึ่งท่านใช้ไปมีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ที่นั่นจริง และนี่เป็นผลไม้ของเมืองนั้น
28 แต่คนที่อยู่ในเมืองนั้นมีกำลังมาก และเมืองของเขาก็ใหญ่โตมีกำแพงล้อมรอบ นอกจากนั้นข้าพเจ้าทั้งหลายยังเห็นคนอานาคที่นั่นด้วย
29 คนอามาเลขอยู่ในแผ่นดินเนเกบ คนฮิตไทต์ คนเยบุส และคนอาโมไรต์อยู่บนภูเขา คนคานาอันอาศัยอยู่ที่ริมทะเล และตามฝั่งแม่น้ำจอร์แดน"
30 แต่คาเลบได้ให้คนทั้งปวงเงียบต่อหน้าโมเสสกล่าวว่า "ให้เราขึ้นไปทันทีและยึดเมืองนั้น เพราะพวกเรามีกำลังสามารถที่จะเอาชัยชนะได้"
31 ฝ่ายคนทั้งปวงที่ขึ้นไปสอดแนมด้วยกันกล่าวว่า "เราไม่สามารถสู้คนเหล่านั้นได้ เพราะเขามีกำลังมากกว่าเรา"
32 และเขาได้กล่าวร้ายเรื่องแผ่นดินที่เขาได้ไปสอดแนมมาเล่าให้คนอิสราเอลฟังว่า "แผ่นดินที่เราได้ไปสืบดูตลอดแล้วนั้นเป็นแผ่นดินที่กินคนซึ่งอยู่ในนั้น ชาวเมืองที่เราเห็นเป็นคนรูปร่างใหญ่โต
33 ที่นั่นเราเห็นคนเนฟิล {ดูหมายเหตุในปฐมกาล6:4} (คนอานาคผู้มาจากคนเนฟิล) ในสายตาของเรา เราเหมือนเป็นตั๊กแตนโมในสายตาของเขาก็เหมือนกัน"

ในวรรณคดีไทยเรื่อง ลิลิตพระลอ มีตอนหนึ่งที่ผมชอบ กล่าวว่า "... สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม อีกคนตาแหลมคม มองเห็นดาวอยู่พร่างพราย..."

บ่อยๆครั้ง ในสถานการณ์เดียวกัน
บางคนเห็นแต่อุปสรรรค บ้างเห็นแต่ปัญหา บ้างเห็นวิกฤต...
ขณะที่บางคนเห็นทางออกในปัญหา บ้างเห็นโอกาสในวิกฤต และบ้างเห็นความเป็นไปได้ในความจำกัด
(แต่สองกลุ่มนี้ ยังงัยก็ดีกว่าคนที่ไม่เห็นอะไรเลย)

หากถามว่าฝาขวดน้ำออร่าสีอะไร ใครๆก็คงตอบว่าสีเขียว แต่หากมีใครบางคนบอกว่าเขาเห็นเป็นสีอื่นล่ะ เป็นไปได้ไหม เพราะอะไร...
.
.
.

ครับ เป็นไปได้ หากเขาตาบอดสี สายตาของเขากำหนดสิ่งที่เขาเห็น

หากให้คน 4 คน ที่ไม่รู้จักช้าง จับงวงช้าง งาช้าง ท้องช้าง หางช้าง แล้วถามว่า ช้างเป็นอย่างไร ทั้ง 4 คน คงตอบว่าช้างเป็นอย่างไร แตกต่างกัน

ทัศนคติ (attitude) คือ ความคิดของเราที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ภาษาชาวบ้าน เรียกว่า มุมมอง (views) หรือ คือ การเห็นจากจุดที่เรายืนอยู่นั่นเอง
ในพระคัมภีร์ มีการกล่าวถึงเรื่อง ทัศนคติไว้เช่นกัน โดย เรียกว่า ท่าที

หากดูจากพระธรรมมัทธิว เราพบว่า ในคำเทศนาบนผู้เขา ซึ่งเป็นการเทศนาครั้งแรกของพระเยซูต่อมวลชน ก็มีการพูดถึงเรื่องท่าทีหรือมุมมองของพระเยซู ต่อเรื่องต่างๆในการดำเนินชีวิต

หากดูจากมุมมองของพระเยซู เช่น ในเรื่องการล่วงประเวณี (มธ.5:27-28)
27 "ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา
28 ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดมองผู้หญิงเพื่อให้เกิดใจกำหนัดในหญิงนั้น ผู้นั้นได้ล่วงประเวณีในใจกับหญิงนั้นแล้ว
อาจกล่าวได้ว่า ท่าที คือ พฤติกรรมที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของเรา (inner action) พระเจ้าจึงถือว่าทำผิดแล้ว แม้ยังเป็นเพียงความคิดท่าที เพราะมนุษย์มองดูพฤติกรรมภายนอก แต่พระเจ้าทอดพระเนตรดูภายใน
1ซามูเอล 16:7 แต่พระเจ้าตรัสกับซามูเอลว่า "อย่ามองดูที่รูปร่างภายนอกหรือที่ความสูงแห่งร่างกายของเขา ด้วยเราไม่ยอมรับเขาเพราะพระเจ้าทอดพระเนตรไม่เหมือนกับที่มนุษย์ดู มนุษย์ดูที่รูปร่างภายนอกแต่พระเจ้าทอดพระเนตรจิตใจ"
จึงไม่น่าแปลกใจที่พระคัมภีร์บอกใน มธ.5:8 ว่า "บุคคลผู้ใดมีใจบริสุทธิ์ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้เห็นพระเจ้า" ผู้นั้นต้องบริสุทธิ์ถึงในความคิดอย่างแท้จริง

คนเราจึงมองเห็นสิ่งเดียวกันแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับสีของเลนส์แห่งสายตาของเรา หรือทัศนคติที่เราสวมอยู่ หลายครั้งจึงเกิดเหตุการณ์ที่มีคนอ่านสิ่งเดียวกัน ฟังสิ่งเดียวกัน แต่เข้าใจไม่ตรงกัน

ทัศนคติ ท่าที มุมมอง ทำให้เราเห็นสิ่งที่จริง (Fact)ได้ แต่อาจไม่ช่วยให้เราเห็นความจริง (Truth)ได้ ดังเช่นตัวอย่างของการคลำช้างของคน 4 คนข้างต้น

การมีทัศนคติที่ดี เป็นสิ่งที่ดีช่วยให้คนเราประสบความสำเร็จได้ หากดูว่าสิ่งใดมีผลต่อความสำเร็จด้วยการแทนตัวอักษรในภาษาอังกฤษด้วยตัวเลขตามลำดับ แล้วนำมาบวกกัน ATTITUDE (1+20+20+9+20+21+4+5) จะได้ 100% ซึ่งมากกว่า SMART หรือ WORK HARD เสียอีก แต่มี สิ่งหนึ่ง ที่ให้ผลลัพธ์ มากกว่า ทัศนคติ นั่นคือ ความรักของพระเจ้า (love of God = 101%)

พระเยซูคริสต์มิได้บอกว่า พระองค์เป็น "สิ่งที่จริง" หรือเป็นเรื่องจริงในมุมมองของพระองค์ แต่พระองค์บอกว่า พระองค์ทรงเป็น "ความจริง" หรือเป็นสิ่งจริงแท้แน่นอนที่ใครๆก็เห็นได้ (แล้วแต่จะเห็นมุมไหน)

ดังนั้น วันนี้ ในฐานะของ พระคริสต์องค์น้อย ผู้เชื่อจึงควรกลับมาพิจารณาตัวเองว่า เราเห็นตัวเองรวมถึงคนและสิ่งต่างๆรอบตัวของเรา ตามความจริงแท้ในสิ่งที่เรา(หรือเขา)เป็น หรือว่าเราเห็นเพียงสิ่งที่จริงในชีวิตของเรา หรือบางคนไม่เห็นอะไรเลย (พวกนี้ น่ากลัวว่าจะเห็นแต่สิ่งที่คิดว่าจริง (illusion))

หากว่าเราเองมีทัศนคติต่อ พระคัมภีร์ ว่าเป็นหนังสือเล่มหนึ่ง เราก็จะเพียงแค่อ่านหนังสือที่ดีอีกเล่มหนึ่ง แต่หากเรามีท่าทีว่า พระคัมภีร์ คือ คำพูดศักสิทธิ์ของพระเจ้า เราจะเห็นฤทธิ์เดชของพระวจนะคำของพระเจ้า

หากวันนี้ เราตั้งใจจะเป็นอีกคนหนึ่งที่เห็นสิ่งต่างๆในโลกนี้ ตามความจริงแท้ของมัน จงให้พระคัมภีร์เข้ามาสร้าง เข้ามาเปลี่ยนมุมมองของท่าน จงเริ่มต้นเสียแต่วันนี้ ด้วยการยอมให้พระคัมภีร์อ่านเรา

** ใช้แบ่งปันในกลุ่ม พ.11 ก.พ.2009**

วันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Fellowship Series #1: การวางแผน

"...ด้วยว่าซึ่งเราทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวเราทั้งหลายกระทำเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้ ความรอดนั้นจะเนื่องด้วยการกระทำก็หามิได้ เพื่อมิให้คนหนึ่งคนใดอวดได้..." เอเฟซัส 2:8-9

เราคงเคยได้ยินเรื่องการวางแผนมามากมาย ชีวิตเรามีการวางแผนอยู่เสมอ ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แผนและการวางแผนจึงเป็นเรื่องใกล้ตัวสำหรับคนทุกคนอย่างมาก

แผนที่ดี มีองค์ประกอบพื้นฐาน 3 อย่าง ได้แก่
1. การมีเป้าหมายชัดเจน
2. การตระหนักถึงจุดที่ยืนอยู่
3. การมองเห็นความเป็นไปได้ของเส้นทาง

การมีเป้าหมายที่ชัดเจน หรือการมีวิสัยทัศน์ คือ การเห็นภาพในความคิดในทุกรายละเอียดของสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เป้าหมายเรายิ่งชัดเรายิ่งรู้ว่า มีอะไรที่เราจะต้องลงมือทำบ้าง
พระเจ้าเองก็มีเป้าหมายที่ชัดเจน และที่สำคัญ เป้าหมายของพระเจ้าไม่ใช่มโนภาพในความคิดของพระองค์ แต่เป็นเรื่องจริงที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เป้าหมายของพระเจ้า คือ ให้มนุษย์ทั้งปวงรอดจากผลของความบาป ได้กลับมารู้จักและมีสัมพันธ์สนิทกับพระเจ้าอีกครั้ง

การตระหนักถึงจุดที่ยืนอยู่ สำคัญมาก การประเมินตัวเองอย่างตรงไปตรงมา ทำให้เรารู้ขีดจำกัดและความสามารถของเราอย่างครบถ้วน ทำให้เรารู้ว่า เราทำอะไรได้บ้าง และทำได้แค่ไหน ซึ่งจะมีผลต่อการกำหนดวิธีการเพื่อให้ได้มาซึ่งเป้าหมายนั้นๆ
เป็นที่แน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัยว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาปและเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า เราถูกแยกออกจากพระเจ้าและไม่สามารถกลับไปหาพระองค์ได้ด้วยตัวของเราเอง

ความเป็นไปได้ของเส้นทาง/วิธีการ เป็นการพิจารณาที่ต้องอาศัยการฝึกฝน เพราะเรากำลังคิดถึงเรื่องในอนาคตด้วยข้อมูลในปัจจุบัน ดังนั้นจึงต้องระลึกไว้เสมอว่า แผนสามารถเปลี่ยนได้หากสมมติฐานของปัจจัยกำหนดเปลี่ยน แต่ไม่ได้หมายความว่า เราควรจะเปลี่ยนแผนบ่อยและทันที หากมีปัจจัยเปลี่ยน ต้องอย่าลืมว่า วิธีการ เป็นเพียงเครื่องมือเพื่อให้เป้าหมายบรรลุสำเร็จตามต้องการ
พระเจ้าทรงมีวิธีการที่หลากหลายเพื่อนำมนุษย์กลับมาหาพระเจ้า จนสุดท้าย ด้วยเพราะความดื้อดึงของมนุษย์ที่พระองค์ทรงรู้จักจิตใจของเขา พระองค์จึงทรงเตรียมชีวิตของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ให้เป็นค่าไถ่ เพื่อที่เราทั้งหลายจะรอดได้ ผ่านทางความเชื่อเท่านั้น วิธีการที่ง่ายที่สุด นั่นคือการใช้ความเชื่อ กระนั้น บางคนก็ยังมองว่ามันง่ายไป

หากวันนี้ แม้ทุกเช้าในการไปทำงาน ซึ่งเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ เรายังมีการวางแผนการเดินทาง แล้วกับเส้นทางชีวิตของเราซึ่งไม่ได้มีเพียงแค่ชีวิตที่อยู่บนโลกนี้ แต่รวมถึงชีวิตหลังความตายอีกนานตราบนิรันดร์ เราเองจะไม่ใส่ใจวางแผนชีวิตนิรันดร์ของเราหรือ

ขอบคุณพระเจ้า ที่วันนี้ พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดแห่งสากลจักรวาล ได้ทรงเปิดเผยแผนการที่ไม่อาจมีมนุษย์คนไหนสามารถทำได้ นั่นคือ แผนการความรอดนิรันดร์ พระองค์ทำในส่วนของพระองค์ในการช่วยกู้เราเรียบร้อยแล้ว คือ การวายพระชนม์และฟื้นในวันที่สาม ที่เหลือจึงเป็นส่วนของเรา ที่จะเลือกเชื่อและรับไว้

หากแผนนี้ถูกวางโดยพระเจ้าพระผู้สร้าง พระองค์ย่อมรู้ข้อมูลของทุกคนและทุกสิ่งเป็นอย่างดี เพราะพระองค์อยู่เหนือกาลเวลา พระองค์เป็นทั้งเบื้องต้นและเบื้องปลาย ดังนั้น เราเองจึงควรรับโอกาสนี้ที่พระเจ้าประทานให้ผ่านทางความเชื่อ ร่วมอยู่ในแผนแห่งความรักขององค์พระผู้เป็นเจ้า กลับมาร่วมรับมรดกของพระเจ้า จากสิทธิในฐานะการเป็นบุตรของพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง

แน่นอนที่สุด แผนนี้ไม่มีพลาด ไม่มีเปลี่ยน ไม่มีล้ม สำเร็จแน่นอน เอเมน

** ใช้แบ่งปันในกลุ่ม พุธที่ 4 ก.พ. 2009 **

วันจันทร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ก้อนดิน...

เมื่อ2-3 สัปดาห์ก่อน ระหว่างรอบนมัสการ พระเจ้าให้เห็นภาพของก้อนดินก้อนหนึ่ง จากก้อนเล็กๆเท่าลูกฟุตบอล แล้วใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ วันนั้น พระเจ้าเร้าใจอย่างรุนแรงมาก ให้เราเผยพระวจนะกับจิตใจของคน... น่าเสียดายจำไม่ค่อยได้แล้ว

ก้อนดินนั้นเหมือนกับจิตใจของคน เดิมอ่อนนุ่ม แต่เจอเศษขยะเจอลมแดด ก็ใหญ่ขึ้นและเริ่มแข็งขึ้น แม้รดน้ำแห่งพระพรลงไปก็กระเซ็นไม่ซึม อยากเปลี่ยนก็เปลี่ยนไม่ได้ มันแข็งเกิน แต่...

ส่วนลึกภายในตรงกลางของหินแข็งนี้ ยังมีพระเจ้าอยู่ ต้องให้พระเจ้าเปลี่ยนจากภายในออกมาสู่ภายนอก เพื่อที่จากหินทั้งก้อนจะเปลี่ยนเป็นดินทั้งก้อนให้พระเจ้าปั้นแต่งใช้การได้ต่อไป

วันนั้น เป็นวันแรกเลยมั้ง ที่พระเจ้าให้ความเข้าใจว่า ให้เผยพระวจนะด้วยสิทธิอำนาจของพระเจ้า คล้ายกับตอนที่เอเสเคียลเรียกกระดูกแห้งให้มีชีวิต แค่ครั้งนี้เป็นการเรียกให้จิตใจคนมีเสรีภาพ รับการปลดเปลื้องจากพันธนาการ
ตอนแรกก็สั่นๆกลัวๆเหมือนกัน แต่พระเจ้าก็บอกเราว่า เผยไปให้เขาได้ยิน นั่นเป็นส่วนของผม ส่วนของการรับไว้เป็นส่วนของผู้ฟัง แล้วพระเจ้าจะทำส่วนของพระองค์ คือ พระองค์จะช่วยกู้ จะเปลี่ยนจิตใจให้ใหม่

ขอบคุณพระเจ้า