วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Fellowship Series #2: ทัศนคติ

กดว.13:21-33
21 คนเหล่านั้นจึงขึ้นไปสอดแนมแผ่นดิน ตั้งแต่ถิ่นทุรกันดารศิน จนถึงเรโหบ ที่ทางเข้าเมืองฮามัท
22 เขาขึ้นไปถึงเนเกบ ถึงเมืองเฮโบรน และอาหิมาน เชชัย และทัลมัย คือคนอานาคอยู่ที่นั่น (เมืองเฮโบรนนี้เขาสร้างมาก่อนเมืองโศอันในอียิปต์ได้เจ็ดปี)
23 เขาทั้งหลายมาถึงห้วยเอชโคล์ ที่นั่นเขาตัดองุ่นกิ่งหนึ่งมีองุ่นพวงหนึ่ง สองคนใช้ไม้คานหามมาเขาเก็บผลทับทิมและมะเดื่อมาบ้าง
24 เขาเรียกที่นั่นว่าห้วยเอชโคล์ {แปลว่า พวงผล} เพราะพวงผลองุ่นซึ่งคนอิสราเอลได้ตัดมาจากที่นั่น
25 ล่วงมาสี่สิบวันเขาทั้งหลายก็กลับมาจากการไปสอดแนมที่แผ่นดินนั้น
26 เขาทั้งหลายกลับมาถึงโมเสสและอาโรน และมาถึงชุมนุมชนอิสราเอล ในถิ่นทุรกันดารปารานที่คาเดช เขาเล่าเรื่องให้ท่านทั้งสอง และบรรดาคนอิสราเอลฟัง และให้ดูผลไม้แห่งแผ่นดินนั้น
27 เขาทั้งหลายเล่าให้โมเสสฟังว่า "ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ไปถึงแผ่นดิน ซึ่งท่านใช้ไปมีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ที่นั่นจริง และนี่เป็นผลไม้ของเมืองนั้น
28 แต่คนที่อยู่ในเมืองนั้นมีกำลังมาก และเมืองของเขาก็ใหญ่โตมีกำแพงล้อมรอบ นอกจากนั้นข้าพเจ้าทั้งหลายยังเห็นคนอานาคที่นั่นด้วย
29 คนอามาเลขอยู่ในแผ่นดินเนเกบ คนฮิตไทต์ คนเยบุส และคนอาโมไรต์อยู่บนภูเขา คนคานาอันอาศัยอยู่ที่ริมทะเล และตามฝั่งแม่น้ำจอร์แดน"
30 แต่คาเลบได้ให้คนทั้งปวงเงียบต่อหน้าโมเสสกล่าวว่า "ให้เราขึ้นไปทันทีและยึดเมืองนั้น เพราะพวกเรามีกำลังสามารถที่จะเอาชัยชนะได้"
31 ฝ่ายคนทั้งปวงที่ขึ้นไปสอดแนมด้วยกันกล่าวว่า "เราไม่สามารถสู้คนเหล่านั้นได้ เพราะเขามีกำลังมากกว่าเรา"
32 และเขาได้กล่าวร้ายเรื่องแผ่นดินที่เขาได้ไปสอดแนมมาเล่าให้คนอิสราเอลฟังว่า "แผ่นดินที่เราได้ไปสืบดูตลอดแล้วนั้นเป็นแผ่นดินที่กินคนซึ่งอยู่ในนั้น ชาวเมืองที่เราเห็นเป็นคนรูปร่างใหญ่โต
33 ที่นั่นเราเห็นคนเนฟิล {ดูหมายเหตุในปฐมกาล6:4} (คนอานาคผู้มาจากคนเนฟิล) ในสายตาของเรา เราเหมือนเป็นตั๊กแตนโมในสายตาของเขาก็เหมือนกัน"

ในวรรณคดีไทยเรื่อง ลิลิตพระลอ มีตอนหนึ่งที่ผมชอบ กล่าวว่า "... สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม อีกคนตาแหลมคม มองเห็นดาวอยู่พร่างพราย..."

บ่อยๆครั้ง ในสถานการณ์เดียวกัน
บางคนเห็นแต่อุปสรรรค บ้างเห็นแต่ปัญหา บ้างเห็นวิกฤต...
ขณะที่บางคนเห็นทางออกในปัญหา บ้างเห็นโอกาสในวิกฤต และบ้างเห็นความเป็นไปได้ในความจำกัด
(แต่สองกลุ่มนี้ ยังงัยก็ดีกว่าคนที่ไม่เห็นอะไรเลย)

หากถามว่าฝาขวดน้ำออร่าสีอะไร ใครๆก็คงตอบว่าสีเขียว แต่หากมีใครบางคนบอกว่าเขาเห็นเป็นสีอื่นล่ะ เป็นไปได้ไหม เพราะอะไร...
.
.
.

ครับ เป็นไปได้ หากเขาตาบอดสี สายตาของเขากำหนดสิ่งที่เขาเห็น

หากให้คน 4 คน ที่ไม่รู้จักช้าง จับงวงช้าง งาช้าง ท้องช้าง หางช้าง แล้วถามว่า ช้างเป็นอย่างไร ทั้ง 4 คน คงตอบว่าช้างเป็นอย่างไร แตกต่างกัน

ทัศนคติ (attitude) คือ ความคิดของเราที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ภาษาชาวบ้าน เรียกว่า มุมมอง (views) หรือ คือ การเห็นจากจุดที่เรายืนอยู่นั่นเอง
ในพระคัมภีร์ มีการกล่าวถึงเรื่อง ทัศนคติไว้เช่นกัน โดย เรียกว่า ท่าที

หากดูจากพระธรรมมัทธิว เราพบว่า ในคำเทศนาบนผู้เขา ซึ่งเป็นการเทศนาครั้งแรกของพระเยซูต่อมวลชน ก็มีการพูดถึงเรื่องท่าทีหรือมุมมองของพระเยซู ต่อเรื่องต่างๆในการดำเนินชีวิต

หากดูจากมุมมองของพระเยซู เช่น ในเรื่องการล่วงประเวณี (มธ.5:27-28)
27 "ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา
28 ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดมองผู้หญิงเพื่อให้เกิดใจกำหนัดในหญิงนั้น ผู้นั้นได้ล่วงประเวณีในใจกับหญิงนั้นแล้ว
อาจกล่าวได้ว่า ท่าที คือ พฤติกรรมที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของเรา (inner action) พระเจ้าจึงถือว่าทำผิดแล้ว แม้ยังเป็นเพียงความคิดท่าที เพราะมนุษย์มองดูพฤติกรรมภายนอก แต่พระเจ้าทอดพระเนตรดูภายใน
1ซามูเอล 16:7 แต่พระเจ้าตรัสกับซามูเอลว่า "อย่ามองดูที่รูปร่างภายนอกหรือที่ความสูงแห่งร่างกายของเขา ด้วยเราไม่ยอมรับเขาเพราะพระเจ้าทอดพระเนตรไม่เหมือนกับที่มนุษย์ดู มนุษย์ดูที่รูปร่างภายนอกแต่พระเจ้าทอดพระเนตรจิตใจ"
จึงไม่น่าแปลกใจที่พระคัมภีร์บอกใน มธ.5:8 ว่า "บุคคลผู้ใดมีใจบริสุทธิ์ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้เห็นพระเจ้า" ผู้นั้นต้องบริสุทธิ์ถึงในความคิดอย่างแท้จริง

คนเราจึงมองเห็นสิ่งเดียวกันแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับสีของเลนส์แห่งสายตาของเรา หรือทัศนคติที่เราสวมอยู่ หลายครั้งจึงเกิดเหตุการณ์ที่มีคนอ่านสิ่งเดียวกัน ฟังสิ่งเดียวกัน แต่เข้าใจไม่ตรงกัน

ทัศนคติ ท่าที มุมมอง ทำให้เราเห็นสิ่งที่จริง (Fact)ได้ แต่อาจไม่ช่วยให้เราเห็นความจริง (Truth)ได้ ดังเช่นตัวอย่างของการคลำช้างของคน 4 คนข้างต้น

การมีทัศนคติที่ดี เป็นสิ่งที่ดีช่วยให้คนเราประสบความสำเร็จได้ หากดูว่าสิ่งใดมีผลต่อความสำเร็จด้วยการแทนตัวอักษรในภาษาอังกฤษด้วยตัวเลขตามลำดับ แล้วนำมาบวกกัน ATTITUDE (1+20+20+9+20+21+4+5) จะได้ 100% ซึ่งมากกว่า SMART หรือ WORK HARD เสียอีก แต่มี สิ่งหนึ่ง ที่ให้ผลลัพธ์ มากกว่า ทัศนคติ นั่นคือ ความรักของพระเจ้า (love of God = 101%)

พระเยซูคริสต์มิได้บอกว่า พระองค์เป็น "สิ่งที่จริง" หรือเป็นเรื่องจริงในมุมมองของพระองค์ แต่พระองค์บอกว่า พระองค์ทรงเป็น "ความจริง" หรือเป็นสิ่งจริงแท้แน่นอนที่ใครๆก็เห็นได้ (แล้วแต่จะเห็นมุมไหน)

ดังนั้น วันนี้ ในฐานะของ พระคริสต์องค์น้อย ผู้เชื่อจึงควรกลับมาพิจารณาตัวเองว่า เราเห็นตัวเองรวมถึงคนและสิ่งต่างๆรอบตัวของเรา ตามความจริงแท้ในสิ่งที่เรา(หรือเขา)เป็น หรือว่าเราเห็นเพียงสิ่งที่จริงในชีวิตของเรา หรือบางคนไม่เห็นอะไรเลย (พวกนี้ น่ากลัวว่าจะเห็นแต่สิ่งที่คิดว่าจริง (illusion))

หากว่าเราเองมีทัศนคติต่อ พระคัมภีร์ ว่าเป็นหนังสือเล่มหนึ่ง เราก็จะเพียงแค่อ่านหนังสือที่ดีอีกเล่มหนึ่ง แต่หากเรามีท่าทีว่า พระคัมภีร์ คือ คำพูดศักสิทธิ์ของพระเจ้า เราจะเห็นฤทธิ์เดชของพระวจนะคำของพระเจ้า

หากวันนี้ เราตั้งใจจะเป็นอีกคนหนึ่งที่เห็นสิ่งต่างๆในโลกนี้ ตามความจริงแท้ของมัน จงให้พระคัมภีร์เข้ามาสร้าง เข้ามาเปลี่ยนมุมมองของท่าน จงเริ่มต้นเสียแต่วันนี้ ด้วยการยอมให้พระคัมภีร์อ่านเรา

** ใช้แบ่งปันในกลุ่ม พ.11 ก.พ.2009**

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น