วันจันทร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2552

the voice...

เมื่อวันพุธที่แล้ว กลางสัปดาห์ นมัสการในแคร์ พระเจ้าให้เห็นเป็นภาพของเมืองคริสเตียนสองเมือง ที่ประสบภาวะแห้งแล้งทั้งคู่ ทั้งสองเมืองอธิษฐานต่อพระเจ้า พระเจ้าบอกให้ทั้งสองเมืองสร้างฝาย เพื่อเมื่อพระองค์ทรงประทานฝน จะได้มีที่เก็บกักน้ำไว้เพียงพอ

ทั้งสองเมืองไม่รู้จักฝาย จึงถามพระเจ้า พระองค์ก็ทรงอธิบายรูปร่าง ขนาด วิธีการ อย่างละเอียด เมืองหนึ่งเข้าใจแล้วสร้างตามที่พระเจ้าบอก ส่วนอีกเมืองหนึ่งมองว่าฝายเล็กไป เขาคิดว่า หากสร้างใหญ่ขึ้น จะสามารถเก็บน้ำได้มากขึ้น จะสามารถใช้ประโยชน์ได้นานขึ้น รวมทั้งเป็นพรกับคนได้มากขึ้น

ทั้งสองเมืองต่างสร้างฝาย เมื่อเมืองแรกซึ่งสร้างตามที่พระเจ้าบอกสร้างฝายเสร็จ ก็พอดีฝนตก ทั้งสองเมืองต่างชุ่มฉ่ำด้วยน้ำฝนจากฟากฟ้า แต่...

อนิจจา เมืองที่คิดจะสร้างให้ใหญ่กว่าที่พระเจ้าบอก ยังสร้างไม่เสร็จ เขาไม่สามารถเก็บน้ำฝนไว้ได้เลย

เสียงพระเจ้าในใจถามว่า ใครคือผู้ที่พระเจ้าทรงโปรดปราน มิใช่เขาผู้นั้นที่วางใจในพระเจ้ามิใช่หรือ ผู้ที่แสวงหาหน้าของเรา ผู้ที่ทูลขอจากเรา ผู้ที่เชื่อฟังและกระทำตามเสียงของเรามิใช่หรือ เหล่าผู้วางใจในพระเจ้า ผู้เลือกตามใจองค์พระผู้เป็นเจ้า คนเหล่านี้คือผู้ที่เราโปรดปราน เขาจะไม่ขาดแคลนสิ่งดีใดๆจากมือของเราเลย

----------------------------------------------
ระหว่างปลายสัปดาห์

เสียงของพระเจ้ามาถึงอีกว่า "อย่ากระวนกระวายใจว่าจะเอาอะไรกินหรือเอาอะไรดื่ม"
นึกแว้ปขึ้นมาได้ว่า ช่วงนี้ เราวางแผนเรื่องการเงินยิบมาก โดยเฉพาะการหาของกินราคาประหยัด จริงๆก็ดีนะ แต่มันมากไป จนล้ำเส้นกลายเป็นการขาดความวางใจพระเจ้าเสียแล้ว ก็กลับใจใหม่ ไม่เอากระเพาะตัวเองเป็นพระเจ้า จะได้เอาความคิดไปทุ่มเทได้อีกหลายเรื่อง

----------------------------------------------
เมื่อวานวันอาทิตย์

พระเจ้าก็สัมผัสใจ เรื่องการพักสงบไว้วางใจในพระเจ้า อีกครั้ง
เสียงของพระเจ้ามาถึงจิตใจว่า "Things in needs or things in wants"
สิ่งที่จำเป็นกับชีวิตของเรา พระเจ้าผู้ทรงจัดสรร พระองค์ได้จัดเตรียมไว้ให้เราแล้ว พระองค์ทรงใส่ใจดูแลเรา แม้แต่ผมของเรา พระองค์ก็ทรงนับไว้แล้วทุกเส้น ไว้วางใจพระเจ้าในสิ่งจำเป็นของชีวิต
แต่สำหรับสิ่งที่เรามีความปรารถนาต้องการ ให้เรา ขอ จากพระเจ้า พระองค์ผู้ทรงเปี่ยมความเมตตาอาจจะประทานจากคลังของพระองค์ให้เรา

รวมทั้งคำเผยพระวจนะในรอบ เรื่อง การถูกปลูกไว้ริมน้ำ เพื่อเป็นพระนิเวศน์ของพระเจ้า ท่ามกลางข่าวลือแห่งสงคราม เราเองจะเติบโตและเกิดผลตามฤดูกาล หรือ เรื่องของภาพเด็กน้อยในเปล เหล่านี้ล้วนย้ำเตือนจิตใจให้เกิดความไว้วางใจพระเจ้ามากขึ้นเต็มเปี่ยมจริงๆ

นั่งมองแผนชีวิต สิ่งที่ตัวเองเขียนไว้ ไม่รู้จริงๆว่าจะทำได้ตามนั้นหรือเปล่า แต่ก็ตั้งใจ และมั่นใจว่าเหล่านี้ล้วนเริ่มต้นจากพระเจ้า ทำให้มีความเชื่อว่า พระองค์จะทรงทำให้สำเร็จด้วย

ไม่ทันข้ามคืน มีการปรับโครงสร้าง หนึ่งในสิ่งที่ผมนึกไม่ออกว่าจะเกิดขึ้นได้อย่างไร สำเร็จไปแล้วหนึ่งสิ่ง พระเจ้าให้ผมดูแลคน 2 คน

----------------------------------------------
สดๆร้อนๆ คงเมื่อเช้า ตื่นมานั่งอธิษฐานกับพระเจ้าจริงจัง จริงๆก็เริ่มจริงจังขึ้นมากตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว พระเจ้าบอกว่า "โฟกัสให้ถูกจุด" โฟกัสเบลอ มองเห็นพระเจ้าไม่ชัด ความไว้วางใจพระเจ้าจะน้อย
ที่สำคัญ เช้านี้เห็นเลยว่าพระเจ้าจัดเตรียม ผมเจอแล้ว ร้านข้าวรสชาติดี ทำใหม่ๆ ไม่เก็บค้างคืน อยู่บนเส้นทางการเดินทาง กินพออิ่มและราคาไม่เกินยี่สิบบาท ขอบคุณพระเจ้า เพียงต้องตื่นเช้าขึ้นเท่านั้นเอง แต่ไม่มีปัญหา สองอาทิตย์ที่ผ่านมา ชีวิตเริ่มกลับสู่ภาวะปกติมากขึ้น เริ่มตื่นเช้าขึ้นได้สบายๆ อาบน้ำ เฝ้าเดี่ยว กินข้าวเช้า โอว เป็นอีกช่วงชีวิตหนึ่งที่ดีนะเนี่ย ^^

วันพฤหัสบดีที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2552

ใส่ใจห่วงใย

จะดีแค่ไหนนะ ถ้ามีคนที่รัก ใส่ใจ ห่วงใยเราเสมอ และคงจะยิ่งดีไปกว่านั้น ที่คนๆนั้น คือ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

อาจจะด้วยว่าช่วงนี้มีเรื่องราวหลั่งไหลเข้ามาให้รู้สึกหัวใจว้าวุ่นอยู่เป็นระยะ ทั้งเรื่องพ่อเข้าโรงพยาบาลผ่าตัด เรื่องเรียน เรื่องเงิน เรื่องคริสตจักร เรื่องงาน เรื่องสุขภาพ รวมทั้งเรื่องคู่ครองในอนาคต แต่ละเรื่องก็จะมีประเด็นปลีกย่อยที่เต็มไปด้วย unknown factor ข้อมูลไม่พอที่จะคิดวิเคราะห์หาทางออก ไม่รู้จะเดินหน้าต่อไปอย่างไร แต่ก็รู้ว่าต้องไปต่อ

เช้านี้ตื่นมานั่งอธิษฐาน พระเจ้าสัมผัสใจว่า จงละความกระวนกระวายใจไว้กับพระเจ้า เพราะพระเจ้าทรงห่วงใยเรา

ลองเปิดๆอ่านพระคัมภีร์ดู Casting all your care upon him; for he careth for you

ให้เราบอกสิ่งที่เราเป็นห่วงกับพระเจ้า เพราะพระเจ้าเป็นห่วงเรา เป็นตรรกะที่ซาบซึ้งใจมากจริงๆ พระองค์ไม่เพียงใส่ใจเรา ห่วงใยเรา แต่เพราะห่วงใยเรานี่แหล่ะ ถึงใส่ใจห่วงใยในคนหรือสิ่งที่เราห่วงใยด้วย โอว... ซาบซึ้งๆ

ยิ่งนั่งสำรวจดูคำว่า กระวนกระวาย ในพระคัมภีร์ สิ่งที่ยิ่งพบเจอในพระคัมภีร์ กลับทำให้จิตใจ นิ่ง มากขึ้นเสียอีก

ลองมาดูกันนะ

1พงศาวดาร 21:13 "เรามีความกระวนกระวายมาก ขอให้เราตกเข้าไปอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า เพราะพระกรุณาคุณของพระองค์ใหญ่ยิ่งนัก แต่ขออย่าให้เราตกเข้าไปในมือของมนุษย์เลย" - เหตุการณ์ที่ดาวิดยอมรับผิด และต้องเลือก ว่าจะรับการลงโทษจากพระเจ้าอย่างไร เตือนใจผมว่า แม้พระเจ้าจะเข้มงวดจริงจังเพียงใด แต่พระคุณของพระองค์ก็ใหญ่หลวงนัก... พระองค์ทรงเป็นคุณพ่อใจดี แต่เข้มงวด

สุภาษิต 24:19 เจ้าอย่ากระวนกระวายเพราะคนกระทำบาป และอย่ามีใจริษยาคนชั่วร้าย - ไม่ต้องห่วง พระเจ้าทรงยุติธรรม ทุกคนจะได้รับผลตามการกระทำของเขา

สุภาษิต 12:25 ความกระวนกระวายของคนถ่วงเขาลง แต่ถ้อยคำที่ดีกระทำให้เขาชื่นชม - มัวแต่กลัวกังวลเป็นห่วงโน่นนี่ ก็ไม่ได้ทำอะไรสักที ชีวิตก็มีแต่จะถดถอยลง

มัทธิว 6
"เหตุฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่ากระวนกระวายถึงชีวิตของตนว่า จะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม และอย่ากระวนกระวายถึงร่างกายของตนว่า จะเอาอะไรนุ่งห่ม ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหารมิใช่หรือ และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่มมิใช่หรือ"
"ท่านกระวนกระวายถึงเครื่องนุ่งห่มทำไม จงพิจารณาดอกไม้ที่ทุ่งนาว่า มันงอกงามเจริญขึ้นได้อย่างไร มันไม่ทำงานมันไม่ปั่นด้าย"
"มีใครในพวกท่านโดยความกระวนกระวาย อาจต่อชีวิตให้ยาวออกไปอีกสักศอกหนึ่งได้หรือ"

"เหตุฉะนั้นอย่ากระวนกระวายว่า จะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม หรือจะเอาอะไรนุ่งห่ม"
"เหตุฉะนั้น อย่ากระวนกระวายถึงพรุ่งนี้ เพราะว่าพรุ่งนี้คงมีการกระวนกระวายสำหรับพรุ่งนี้เอง แต่ละวันก็มีทุกข์พออยู่แล้ว" - ขั้นเทพมาก คนที่เชื่อในความจริงของพระคัมภีร์ข้อนี้ จะใช้ชีวิตได้เหนือความวิตกปกติของมนุษย์ทั่วไป เหอ เหอ ใครจะต่อชีวิตตัวเองได้

"มารธา มารธาเอ๋ย เธอกระวนกระวายและร้อนใจด้วยหลายสิ่งนัก" - จำได้ใช่ไหม มารีย์เลือกสิ่งที่ดีที่สุดของเธอแล้ว ลึกซึ้งครับ

เยเรมีย์ 17:8 "เขาเป็นเหมือนต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมน้ำ ซึ่งหยั่งรากของมันออกไปข้างลำน้ำ เมื่อแดดส่องมาถึงก็ไม่กลัว เพราะใบของมันคงเขียวอยู่เสมอ และไม่กระวนกระวายในปีที่แห้งแล้ง เพราะมันไม่หยุดที่จะออกผล" ไม่ว่าจะอย่างไร การใกล้ชิดติดหนึบแนบในสนิท ก็จะทำให้เรารู้ว่า ไม่ว่าสถานะการณ์จะเป็นอย่างไร พระเจ้ารักห่วงใยใส่ใจเรามิเคยคลาดคลาย

ขอบคุณพระเจ้าครับ วันนี้ การเดินทางยามเช้าท่ามกลางมนุษย์เงินเดือนทั้งหลายที่หน้านิ่วคิ้วขมวด... ผมกำลังอมยิ้มอยู่

วันอังคารที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2552

บรรจุ...

22 "เพราะฉะนั้นจงกล่าวแก่พงศ์พันธุ์อิสราเอล พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย เรากำลังจะกระทำอยู่แล้ว ไม่ใช่เพื่อเห็นแก่เจ้า แต่เพราะเห็นแก่นามบริสุทธิ์ของเรา ซึ่งเจ้าได้กระทำให้สาธารณ์ท่ามกลางประชาชาติซึ่งเจ้าเข้าไปอยู่นั้น
23 และเราจะกระทำให้ความบริสุทธิ์แห่งนามใหญ่ยิ่งของเราปรากฏคืนมา ซึ่งเป็นสาธารณ์อยู่ท่ามกลางประชาชาติ และซึ่งเจ้ากระทำให้สาธารณ์ท่ามกลางเขา และประชาชาติทั้งหลายจะทราบว่า เราคือพระเจ้า พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ เมื่อเราสำแดงความบริสุทธิ์ของเราท่ามกลางเจ้าต่อหน้าต่อตาของเขาทั้งหลาย
24 เพราะว่าเราจะเอาเจ้าออกมาจากท่ามกลางประชาชาติและรวบรวมเจ้ามาจากทุกประเทศ และนำเจ้าเข้ามาในแผ่นดินของเจ้าเอง
25 เราจะเอาน้ำสะอาดพรมเจ้า และเจ้าจะสะอาดพ้นจากมลทินทั้งหลายของเจ้า และเราจะชำระเจ้าจากรูปเคารพทั้งหลายของเจ้า
26 เราจะให้ใจใหม่แก่เจ้าและเราจะบรรจุจิตวิญญาณใหม่ไว้ในเจ้า เราจะนำใจหินออกไปเสียจากเนื้อของเจ้า และให้ใจเนื้อแก่เจ้า
27 และเราจะใส่วิญญาณของเราภายในเจ้าและกระทำให้เจ้าดำเนินตามกฎเกณฑ์ของเรา และให้รักษากฎหมายของเราและกระทำตาม
28 เจ้าจะอาศัยอยู่ในแผ่นดินซึ่งเราให้แก่บรรพบุรุษของเจ้า และเจ้าจะเป็นประชากรของเราและเราจะเป็นพระเจ้าของเจ้า
29 เราจะช่วยกู้เจ้าให้พ้นมลทินทั้งหลายของเจ้า และเราจะเรียกข้าวมา และกระทำให้อุดมสมบูรณ์ และจะไม่ให้เจ้าเกิดความอดอยากเลย
30 เราจะกระทำให้ผลของต้นไม้และไร่นาอุดมสมบูรณ์ เพื่อเจ้าจะไม่ต้องทนรับความอับอายขายหน้าเพราะความอดอยากท่ามกลางประชาชาติอีกเลย
31 แล้วเจ้าจะระลึกถึงทางที่ชั่วของเจ้า และการกระทำของเจ้าที่ไม่ดีแล้วเจ้าจะเกลียดตัวเจ้าเอง เพราะความบาปชั่วของเจ้า และการกระทำลามกของเจ้า
32 พระเจ้าตรัสว่า ที่เรากระทำนั้นมิใช่เพราะเห็นแก่เจ้า ขอให้เจ้าทราบเสีย พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย จงอับอายและขายหน้าด้วยเรื่องทางของเจ้าเถิด


เมื่อเช้านั่งอธิษฐานกับพระเจ้าอยู่ ก็มีคำว่า "บรรจุ" ขึ้นมาในจิตใจ แล้วก็นึกถึงพระธรรมตอนนี้ ก็เลยมานั่งคร่ำครวญ เอ้ย ใคร่ครวญ ขอความเข้าใจจากพระเจ้า ตามนี้ครับ

พระเจ้า เป็นผู้รื้อฟื้นชุมชนของพระองค์

พระองค์รื้อฟื้นอย่างไร

1. การรื้อฟื้นเป็นพระประสงค์ เป็นความตั้งใจของพระองค์ (22) ทรงรื้อฟื้นเพื่อพระองค์เอง ทรงรื้อฟื้นในขณะที่เรายังเป็นคนบาปและกระทำการให้พระนามของพระองค์ถูกลบหลู่
2. การรื้อฟื้นเริ่มต้นขึ้น เมื่อพระองค์สำแดงความบริสุทธิ์ของพระองค์แก่ประชากรของพระองค์ (23)
3. พระเจ้าจะนำเราให้ไปอยู่ในที่ของเรา (24)
4. พระเจ้าจะทรงชำระเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงทำงานในใจของเรา (25)
5. พระเจ้าจะทรงนำใจใหม่ ซึ่งเป็นใจที่มีชีวิตสดใหม่ มาใส่ไว้ให้เราแทนใจเดิมซึ่งแข็งกระด้างตายแล้ว (26)
6. พระเจ้าจะทรงประทานจิตใจ หรือ ความปรารถนาของพระองค์ให้กับเรา (27) ในการเชื่อฟังและกระทำตามพระบัญญัติของพระเจ้า
7. พระเจ้าจะสถาปนาความสัมพันธ์กับเราอีกครั้ง (28) สิทธิและหน้าที่ต่างๆจะกลับคืนมา แน่นอนว่ารวมถึงพระพรด้วย (อ่านต่อได้ในข้อหลังจากนี้)
8. พระเจ้าจะทรงปกป้อง และดูแลในความจำเป็นของเรา (29) ดั่งเช่น ที่เคยทรงดูแลเลี้ยงดู อิสราเอลในถิ่นทุรกันดาร ด้วย มานา
9. พระเจ้าจะเป็นผู้ประทานศักดิ์ศรี และการเกิดผลแก่เรา (30) เพื่อที่ตัวเราจะไม่ต้องอับอายอีกต่อไป
10. พระเจ้าจะทำให้เราระลึกถึงความเลวร้ายในวันที่เราได้รับผลตามการประพฤติที่ชั่วร้ายของเรา (31-32) เพื่อให้เราตระหนักถึงพระคุณของพระเจ้า และเจียมตัวในความกรุณาของพระองค์

จริงๆนะ ที่ลืมตาอ้าปาก หัวเราะร่ามีความสุข ได้ในทุกวันนี้ ก็เพราะพระเจ้ามิใช่หรือ อย่าลืมซะล่ะ ว่าทุกสิ่งล้วนเป็นมาโดยพระคุณพระเจ้าแม้แต่ความสามารถของเรา ทั้งหมดทั้งสิ้น พระเจ้าประทานให้ เพื่อที่จะมิให้เราคนใดคนหนึ่งอวดได้

วันจันทร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2552

ก่อนจะเตือนใคร...

มีน้องคนหนึ่ง เพื่อนบ้านแถวๆนี้ อ่านพระคัมภีร์แล้วไม่เข้าใจ ก็เลยลองไปอ่านดูบ้าง เห็นว่าน่าสนใจ ขอเอามาลงแบ่งปันไว้ที่นี่ด้วยนะ

มธ.7:1-6

1 "อย่ากล่าวโทษเขา เพื่อพระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษท่าน
2 เพราะว่าท่านทั้งหลายจะกล่าวโทษเขาอย่างไร พระเจ้าจะทรงกล่าวโทษท่านอย่างนั้น และท่านจะตวงให้เขาด้วยทะนานอันใด พระเจ้าจะได้ทรงตวงให้ท่านด้วยทะนานอันนั้น
3 เหตุไฉนท่านมองดูผงที่ในตาพี่น้องของท่าน แต่ไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาของท่าน ท่านก็ไม่รู้สึก
4 เหตุไฉนท่านจะกล่าวแก่พี่น้องว่า "ให้เราเขี่ยผงออกจากตาของเธอ" แต่ที่จริงไม้ทั้งท่อนมีอยู่ในตาของท่านเอง
5 ท่านคนหน้าซื่อใจคด จงชักไม้ทั้งท่อนออกจากตาของท่านก่อน แล้วท่านจะเห็นได้ถนัด จึงจะเขี่ยผงออกจากตาพี่น้องของท่านได้
6 "อย่าให้ของประเสริฐแก่สุนัข อย่าโยนไข่มุกให้แก่สุกร เกลือกว่ามันจะเหยียบย่ำเสีย และจะหันกลับมากัดตัวท่านด้วย

หากพิจารณาทั้งบริบทตั้งแต่ข้อ1-6 เราจะพบว่า พระเยซูกำลังสอนเราเรื่อง ท่าทีในการเตือนคน
โดยแบ่งเป็น 2 หมวด

หมวดแรก พิจารณาท่าทีตนเอง
1. ผู้จะเตือนคนอื่นต้องรู้หลักการและความจริงในเรื่องนั้นๆที่จะเตือน (ข้อ1-2)การที่เราจะกล่าวโทษผู้อื่นได้ นั่นคือ เราต้องรู้ว่าสิ่งใดถูก/ผิดก่อน นั่นคือ เราต้องรู้หลักการและความจริง
2. เตือนด้วยใจปรารถนาช่วยเหลือ มิใช่ทำร้ายทำลายกัน "อย่ากล่าวโทษ"
3. เตือนด้วยการสำนึกว่าเราจะต้องรับผิดชอบการเตือนนี้กับพระเจ้า (ข้อ 2)
4. เตือนด้วยใจถ่อม สำนึกว่าเราทั้งหลายต่างมีโอกาสสามารถทำผิดพลาดได้ (ไม่ได้คิดว่าฉันดีกว่าเธอ)(ข้อ 3)
5. เตือนคนอย่างสมจริงสมจัง (ไม่เตือนคนอย่างเพ้อเจ้อ) (ข้อ4) เข้าใจบริบทของเขาตามความเป็นจริง หากไม้ทั้งท่อนยังอยู่ในตาของเรา เราจะเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามจริงได้อย่างไร นอกจากเห็นตามที่เราคิดเอาเองว่าจริง
6. เตือนคนด้วยชีวิต (ข้อ 5) การชักไม้ออกจากตา เล็งถึงการกลับใจใหม่ การเตือนที่มีพลัง เกิดจากการเตือนของคนที่มีชีวิตอยู่ในความจริง ระดับความจริงในชีวิตสูงกว่า สิทธิอำนาจในความจริงสูงกว่า จึงสามารถนำความจริงนั้นมา ปลดปล่อย ผู้อื่นได้

หมวดสอง พิจารณาท่าทีของผู้ที่เราจะเตือน
7. เตือนผู้ที่รับฟังคำเตือน (ข้อ6)
ของบริสุทธิ์หรือของประเสริฐ กับ ไข่มุก เล็งถึง หลักการและความจริงของข่าวประเสริฐ ในข้อนี้ พระคัมภีร์กำลังให้น้ำหนักถึงการไม่ควรกล่าวเตือน/แนะนำ แก่คนที่จมปลักอยู่ในความเลวทราม เพราะเขาจะรับมันด้วยความรู้สึกดูถูกเหยียดหยามคำเตือนและหันกลับมาตำหนิเราผู้เตือนด้วย เราพบว่าในพระธรรม สุภาษิต ก็มีการกล่าวถึงเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน เช่น สภษ.9:8 "..อย่าตักเตือนคนมักเยาะเย้ย เพราะเขาจะเกลียดเจ้า.."

เคยมีคนบอกว่า การใช้ความจริง กับความรัก ต้องใช้คู่กันอย่างเหมาะสม จึงจะเกิดประสิทธิภาพสูงสุด แต่หากใช้ไม่เป็นจะเป็นการลดทอนผลซึ่งกันและกัน
เมื่อก่อนสิ้นปี ประเด็นนี้ก็วนกลับมาสู่ความคิดอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่เข้าใจอะไรเพิ่มมากขึ้น จนได้ใคร่ครวญพระธรรมตอนนี้ในวันนี้

ผมเข้าใจมากขึ้นว่า วิธีการในการใช้ความจริงกับความรักด้วยกัน คือ การใช้สิทธิอำนาจในความจริงด้วยหัวใจที่รักและปรารถนาดีต่อผู้นั้น น่าจะเป็นหนทางที่เหมาะสมที่สุด เท่าที่ผมเข้าใจในเวลานี้

วันเสาร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2552

เอาจริง

วันนี้ นั่งอ่าน พระธรรม อาโมส
ให้รู้สึกว่า พระเจ้า...เอาจริง
ทำอะไรไว้ แล้วไม่กลับใจ พระเจ้าเช็คบิลเรียบ ไม่เว้นว่าจะใกล้หรือไกล จะโปรดหรือไม่โปรด เก่งหรือไม่เก่ง โดนหมด

พระเจ้าบอกว่าจะทำอะไร อย่างไร พระองค์ก็ทรงกระทำอย่างนั้น แม้มีคนต่อรองแล้ว ทรงกลับพระทัย สำแดงกรุณา ก็ทรงบอกอย่างนั้น ทำอย่างนั้น ในพระเจ้าไม่มีผันแปร
นึกถึงตอนอับราฮัมต่อรองกับพระเจ้าเนาะ แหม ช่างกล้า

อ่านแล้วให้เกิดความยำเกรงพระเจ้า "จงแสวงหาพระเจ้าและดำรงชีวิตอยู่"

นึกถึงเรื่องที่เกิดกับคริสตจักร ผมคิดว่า พระธรรมอาโมส อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว และสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ดี แน่นอนว่ารวมถึงสิ่งที่เราควรทำในเวลานี้ด้วย

ท้ายสุดชำระคดีความกันเสร็จสิ้น ก็ทรงประทานพระสัญญา นำสวัสดิภาพกลับสู่วิถีชีวิตปกติ แน่ล่ะ แผนงานของพระเจ้าก็มีเพื่อสวัสดิภาพนี่นา ไม่ใช่เพื่อทุกขภาพเสียหน่อย เพื่อนำอนาคตที่เราหวังใจไว้มาให้ในที่สุด

For I know the thoughts that I think toward you, saith the Lord, thoughts of peace, and not of evil, to give you an expected end. Jeremiah 29:11

"อยู่ใน"

บทเรียนแรกที่พระเจ้าสอนในปี 2009 มาจาก พระธรรม 2โครินธ์.5:17
Therefore if any man be in Christ, he is a new creature: old things are passed away; behold, all things are become new.
เงื่อนไขเดียวของการเป็นคนใหม่ เงื่อนไขเดียวที่สิ่งเก่าๆจะผ่านพ้นไป เงื่อนไขเดียวที่ทุกสิ่งจะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งสิ้น คือ การที่คนคนนั้น อยู่ในพระคริสต์

ขณะที่ ฟิลิปปี 4:13 บอกเราว่า I can do all things through Christ which strengtheneth me.
พระคัมภีร์ข้อนี้บอกว่า ฉันสามารถทำทุกอย่างได้ ผ่านพระคริสต์ผู้เสริมกำลังแก่ฉันจากข้างใน... อะ พระเยซูไปกระทำกิจจากภายในชีวิตของเราซะแล้ว

ใน ยอห์น 15:4-5 บอกเรื่องสำคัญซึ่งเป็น "ผล" ของการ "อยู่ใน" พระคริสต์ไว้ อย่างชัดเจน
4 Abide in me, and I in you. As the branch cannot bear fruit of itself, except it abide in the vine; no more can ye, except ye abide in me.
5 I am the vine, ye are the branches: He that abideth in me, and I in him, the same bringeth forth much fruit: for without me ye can do nothing.
(จริงมีแถมไว้ให้ในข้อ 6-7 ด้วยว่า คนที่ไม่ "อยู่ใน" จะได้รับผลอย่างไร และคนที่ "อยู่ใน" พระคริสต์ และ มีถ้อยคำของพระคริสต์อยู่ในชีวิต สิ่งที่เขาขอนั้น พระองค์จะทรงกระทำให้สำเร็จ
6 If a man abide not in me, he is cast forth as a branch, and is withered; and men gather them, and cast them into the fire, and they are burned.
7 If ye abide in me, and my words abide in you, ye shall ask what ye will, and it shall be done unto you.)

หากเรา "อยู่ใน" พระคริสต์ เราจะเกิดผล "มาก" ในทางตรงกันข้าม เราไม่สามารถทำสิ่งใดได้เลย แล้วทำไมเราถึงทำอะไรไม่ได้เลย ใน พระธรรม เอเฟซัส 6:12 บอกเราไว้ว่า
For we wrestle not against flesh and blood, but against principalities, against powers, against the rulers of the darkness of this world, against spiritual wickedness in high places.
นั่นสินะ ตั้งแต่ที่อาดัมทำบาป และความบาปก็สืบถ่ายมาสู่มนุษย์หมดทั้งโลก คนเราจึงเกิดมาในบาป เกิดมาในการปกครองของวิญญาณชั่วร้าย การ "อยู่ใน" พระคริสต์ จึงเป็นหนทางเดียว ในการหลุดพ้นจากพันธนะ แล้วชีวิตของเรา จะกลายเป็นสิ่งใหม่ๆทั้งสิ้น

อยากเห็นชีวิตตัวเองเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น อยากเป็นคนใหม่ เป็นตัวของตัวเองจริงๆ จงเข้ามา "อยู่ใน" พระคริสต์เสียแต่เดี๋ยวนี้