วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2552

อยากหายดีหรือเปล่า (ยน.5:1-15)

หลังจากพระเยซูพำนักอยู่ที่แคว้นกาลิลีช่วงหนึ่ง (นานเท่าไหร่ก็ไม่รู้) พระองค์ก็เสด็จกลับไปยังเยรูซาเล็มอีกครั้ง เพื่อร่วมงานเทศกาลเฉลิมฉลองของชาวยิว

จริงๆแล้ว พระคัมภีร์ไม่ได้ระบุชัดเจนว่า เป็นงานเทศกาลอะไร และไม่มีการอ้างอิงถึงเหตุการณ์นี้อีกเลยด้วย แต่เป็นไปได้ว่า น่าจะเป็น 1 ใน 3 เทศกาลหลักซึ่งโดยปกติ ผู้ชายชาวยิวทุกคนควรจะต้องเดินทางไปเข้าร่วม คือ เทศกาลปัสกา เทศกาลฉลองการเก็บเกี่ยว หรือ เทศกาลอยู่เพิง

ในพระธรรมยอห์น ได้ระบุเอาไว้ชัดเจนว่า หลังจากพระเยซูเริ่มกระทำพระราชกิจ ทรงปรากฎตัวที่เยรูซาเล็มในเทศกาลปัสกา อย่างน้อย 3 ครั้ง (บทที่2, 6, 11) ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น พระเยซูจะใช้เวลาในการทำพระราชกิจระหว่าง 2 ถึง 3 ปี บนโลกนี้
แต่หากว่า งานเทศกาลที่กล่าวถึงตรงนี้ คือ เทศกาลปัสกาครั้งที่ 4 ก็จะกลายเป็นว่า ทรงใช้เวลากระทำพระราชกิจระหว่าง 3 ถึง 4 ปี แทน ดังนั้น คำพูดที่บอกว่า พระเยซูใช้เวลากระทำพระราชกิจบนโลก 3ปีครึ่ง จึงอาจไม่ถูกต้องก็ได้ และโดยส่วนตัว ผมคิดว่า เรื่องระยะเวลาการทำพระราชกิจของพระเยซู ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องให้ความสำคัญมากนักในเชิงการดำเนินชีวิต (โดยเฉพาะ เพื่อเป็นเครื่องมือในการปลุกเร้าให้ผู้เชื่อเร่งรีบรับใช้พระเจ้า ดั่งเช่นที่พระเยซูทรงทำมาแล้ว) นอกเสียจากในเชิงประวัติศาสตร์พระคัมภีร์

ก่อนเข้าไปในเขตกำแพงเมือง ใกล้ๆ ประตูแกะ มีสระน้ำอยู่สระหนึ่ง ในภาษาอาลาเมค เรียกว่า เบธซาธา ซึ่งไวยากรณ์ในภาษาเดิมใช้เป็นปัจจุบันไม่ใช่อดีต แสดงให้เห็นว่า ขณะที่ยอห์นเขียนพระคัมภีร์นี้ ยังมีสระน้ำอยู่ เป็นหลักฐานสนับสนุนอีกจุดหนึ่งว่า พระธรรมนี้เขียนขึ้นในช่วงก่อนที่กรุงเยรูซาเล็มจะถูกทำลาย

สระเบธซาธา มีลักษณะโดดเด่น คือ เป็นสระน้ำคู่ มีทางเดินสูงล้อมอยู่ 5 ด้าน ไม่ใช่ศาลา 5 หลัง อย่างที่หลายคนอาจเข้าใจกัน ที่นี่จะเต็มไปด้วยคนเจ็บป่วยไม่สบายจำนวนมาก ส่วนใหญ่จะเป็นคนตาบอด พิการ หรือ อัมพาต พวกเขาเชื่อว่า บางเวลาจะมีทูตสวรรค์มาทำให้น้ำกระเพื่อม ใครก็ตามที่เป็นคนแรกที่ลงไปในน้ำได้ คนนั้นจะหายดีจากการเจ็บป่วยที่เป็นอยู่

พระเยซูเดินเข้าไปในบริเวณสระน้ำ ทรงเห็นชายคนหนึ่งนอนเจ็บอยู่ (ไม่รู้ว่าป่วยเป็นอะไรเหมือนกัน พระคัมภีร์บอกแค่ว่า ไม่สบาย) เมื่อพระองค์รู้ว่าคนนี้ไม่สบายมานานถึง 38 ปีแล้ว ก็ทรงถามเขาว่า "อยากหายดีหรือเปล่า" แต่ชายคนนั้นกลับตอบพระเยซูว่า เป็นเพราะเขาไม่มีคนช่วยพาไปที่สระเมื่อน้ำกระเพื่อม แม้เขาจะพยายามด้วยตัวเขาเอง แต่คนอื่นก็ไปถึงก่อนหน้าแล้ว

ปกติเราเห็นแต่ภาพที่คนเจ็บมาร้องขอให้พระเยซูรักษา แต่ครั้งนี้พระเยซูกลับถามเสียเอง ชายคนนั้นอาจจะรู้สึกท้อแท้ใจ และคงทำใจแล้วว่าตัวเองคงไม่มีทางหาย อาจจะนอนรอความตายอยู่ก็ได้ เขาพยายามแล้วพยายามอีกที่จะทำในสิ่งที่เขาเชื่อ เพื่อให้ได้ในสิ่งที่เขาต้องการ... ฟังๆแล้ว ก็ไม่ต่างจากคนปกติอย่างพวกเราเท่าไหร่ เพียงแต่เรามีแรง และเรายังไปไม่ถึงจุดที่ "สิ้นหวัง" เราจึงยังทุ่มเทพยายามต่อไป ตามวิถีทางที่เราเชื่อ อาจจะต้องรอถึงเกือบ 40 ปี เราถึงจะหมดแรงและสิ้นหวัง ถึงเวลานั้น พระเจ้าคงมาเยี่ยมเยียนเรา คำถามนี้ อาจเป็นคำถามธรรมดาๆ ที่พระเยซูต้องการกระตุ้นให้เขามีความปรารถนา มีความหวังว่าจะหายดีอีกครั้ง

อย่างน่าอัศจรรย์ พระเยซูทรงรักษาเขาให้หายดีแม้เขาไม่รู้จักว่าพระองค์เป็นใคร พระองค์บอกให้เขาลุกขึ้น เก็บที่นอนแล้วเดินออกไปซะ แม้โดยปกติ การมีความเชื่อในพระเยซูจะเป็นสิ่งจำเป็นในการได้รับการรักษา แต่นี่แสดงให้เห็นว่า ฤทธานุภาพของพระเยซูทรงมีอย่างไม่จำกัด พระองค์ไม่ทรงถูกจำกัดด้วยความเชื่ออันจำกัดของเรา

ตอนแรกชายคนนั้นไม่รู้ว่า คนที่รักษาเขาเป็นใคร แต่เขาได้มีโอกาสเจอพระเยซูอีกครั้งในพระวิหาร และเขาได้รู้จักกับพระเยซูที่นี่ พระองค์บอกเขาว่า เขาหายดีแล้ว ให้หยุดทำบาป มิเช่นนั้นจะเกิดสิ่งที่แย่กว่ากับชีวิต

จริงที่ว่า ค่าจ้างของความบาปคือความตาย ผลที่ได้รับจากการทำบาป แย่ยิ่งกว่าการนอนเจ็บป่วยอยู่เกือบ 40 ปี เพราะเป็นผลนิรันดร์ แต่เราอาจจะไม่ต้องรอจนถึงหลังความตายก็ได้ บางครั้ง เมื่อเรารับการช่วยกู้จากพระเจ้าแล้ว เราก็เผลอลืมตัวไปตามความคุ้นเคยในการทำบาป หลงคิดไปว่าพระเจ้าทรงอภัยเราแล้ว ทรงอวยพรเราแล้ว มันจะไม่เป็นไร แต่พระเจ้าไม่เพียงทรงพระคุณ พระองค์ทรงยุติธรรมด้วย

พระเจ้า ทรงเปี่ยมด้วยความรักและพระคุณ แม้ในยามที่เราสิ้นหวัง หมดเรี่ยวแรง ยอมแพ้และขาดความเชื่อ พระเจ้าทรงช่วยเราได้อย่างอัศจรรย์ด้วยพระทัยกรุณาของพระองค์ แต่ พระคุณของพระเจ้านั้นมุ่งหวังให้เรากลับใจใหม่ หาก "พระคุณ" ใช้ไม่ได้ผล พระเจ้าอาจต้องใช้ "พระเดช" ตามสมควรกับที่เราควรได้รับ เพื่อให้เรากลับใจใหม่ในที่สุด

แต่จะด้วยวิธีการใดก็ตาม เชื่อเถอะว่าจุดเริ่มต้น คือพระองค์ทรงเมตตาสงสารเรา...
ประโยคแรกที่พระเยซูทรงตรัสถามชายคนนั้น วันนี้ อาจทรงกำลังถามเราด้วยก็ได้...

"อยากหายดีหรือเปล่าล่ะ?"

วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2552

หมายสำคัญการอัศจรรย์ครั้งที่ 2 (ยน.4:43-54)

หลังจากพระเยซูเสด็จออกจากแคว้นสะมาเรียเข้าไปยังแคว้นกาลิลี ที่ซึ่งครั้งหนึ่งพระองค์สั่งสอนเขา แต่พวกเขาพากันประหลาดใจด้วยรู้ว่าพระองค์เป็นลูกเต้าเหล่าใคร ครั้งนั้นพระองค์ตรัสกับเขาว่า ผู้เผยพระวจนะจะไม่ได้รับเกียรติในบ้านเมืองและวงศ์ตระกูลของตน แล้วพระองค์ก็ไม่ได้ทำการอัศจรรย์ เพราะเขาไม่มีความเชื่อ (มธ.13:53-58) แต่ครั้งนี้ชาวกาลิลีกลับต้อนรับพระองค์ด้วยความยินดี เพราะได้เคยเห็นการอัศจรรย์หลายอย่างที่พระองค์ทำในเทศกาลปัสกา ณ กรุงเยรูซาเล็ม

พระองค์เสด็จไปยังหมู่บ้านคานา ซึ่งพระองค์เคยทำการอัศจรรย์ครั้งแรกที่นี่ ด้วยการเปลี่ยนน้ำสำหรับใช้ล้างเท้าให้เป็นน้ำองุ่นชั้นดี ครั้งนี้พระองค์ได้พบกับข้าราชการของกษัตริย์เฮโรดคนหนึ่ง ซึ่งเดินทางมาจากเมืองคาเปอนาอุม เพื่อเชิญพระเยซูเสด็จไปรักษาลูกชายของเขาที่ป่วยหนักใกล้ตาย

พระองค์บอกข้าราชการคนนี้ว่า คนกาลิลีเหล่านี้ หากไม่ได้เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์ก็จะไม่มีทางเชื่อได้เลย เหมือนจะเป็นการบอกเขาว่าให้มีความเชื่อ แม้จะยังไม่เห็นการอัศจรรย์ใดๆก็ตาม หรืออาจจะกำลังบอกเขาว่า ถ้าเจ้ามีความเชื่อในนามของเรา เจ้าก็จะเห็นการอัศจรรย์ โรคก็จะหาย ลูกเจ้าจะไม่ตาย เจ้าไม่จำเป็นต้องมาที่นี่ หรือเราไม่จำเป็นต้องไปบ้านเจ้าก็ได้
แต่ข้าราชการคนนั้นอาจจะยังไม่เก็ต และกังวลในอาการของลูกชาย จึงเร่งเร้าพระเยซูอีกครั้ง

พระเยซูจึงบอกว่าลูกเขาจะมีชีวิตอยู่ และให้เขากลับบ้านไป
ข้าราชการคนนั้นก็รับคำของพระเยซูแล้วเดินทางกลับบ้าน ระหว่างทางพบกับคนรับใช้แจ้งข่าวว่าลูกเขาหายดีแล้ว โดยหายดีเวลาเดียวกับที่พระเยซูบอกว่าลูกเขาจะมีชีวิตอยู่

บางทีเขาอาจจะตระหนักในเวลานั้นนั่นเองว่า แท้จริงแล้ว พระเยซูไม่ได้พูดในเชิงพยากรณ์ว่าลูกเขาจะยังมีชีวิตอยู่ แต่พระองค์ตรัสสั่งด้วยสิทธิอำนาจของพระองค์ ให้ลูกชายของเขาหายเจ็บและมีชีวิตอยู่ต่อไป นี่คงเป็นเหตุให้ทั้งตัวข้าราชการและครอบครัวเชื่อวางใจในพระเยซู

การรักษาโรคบุตรชายข้าราชการของกษัตริย์เฮโรดครั้งนี้ เป็นการอัศจรรย์ครั้งที่ 2 ของพระเยซู แต่ไม่ใช่ครั้งที่ 2 ในพระราชกิจของพระเยซูอย่างที่หลายคนเข้าใจ (ครั้งแรกคือ เปลี่ยนน้ำเป็นน้ำองุ่นหมัก ที่หมู่บ้านคานา) เพราะตอนที่พระองค์อยู่ที่เยรูซาเล็ม พระองค์ก็กระทำการอัศจรรย์หลายครั้ง (ยน.2:23)
แท้จริงแล้ว การอัศจรรย์ครั้งนี้เป็นการอัศจรรย์ครั้งที่ 2 ของการเดินทาง บนเส้นทางจากแคว้นยูเดียผ่านแคว้นสะมาเรียไปแคว้นกาลิลีนั่นเอง

วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2552

2 วันในแคว้นสะมาเรีย (ยน.4:1-42)

พระคัมภีร์เริ่มต้นด้วยว่า เมื่อพระเยซูรู้ว่า พวกฟาริสีได้ิยินว่าพระองค์มีสาวกเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ พระองค์ก็เสด็จออกจากแคว้นยูเดีย เพื่อขึ้นไปยังแคว้นกาลิลีที่อยู่ทางเหนือ (สงสัยพระเยซู คงรำคาญพวกนี้นะ วันๆไม่ทำอะไร เอาแต่ซุบซิบ สนใจเรื่องชาวบ้าน)
ปกติชาวยิวทั่วไป จะข้ามแม่น้ำจอร์แดนมาเดินทางฝั่งตะวันออก เพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าไปในถิ่นของชาวสะมาเรีย ซึ่งเป็นแคว้นที่อยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน และเป็นทางผ่านระหว่างยูเดียกับกาลิลี แต่พระเยซูจงใจเดินตรงไปเข้าไปในแคว้นสะมาเรียเลยครับ

ช่วงเที่ยงๆ พระเยซูนั่งพักเหนื่อยอยู่ริมบ่อน้ำ ปกติชาวบ้านจะมาตักน้ำกันช่วงเย็นๆ แต่เที่ยงวันนี้ มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาตักน้ำ (ท่าทางจะไม่อยากเจอหน้าผู้คนเท่าไหร่) พระเยซูเปิดฉากขอน้ำจากหญิงนั้นดื่ม สร้างความงุนงงให้กับสาวเจ้าอย่างมาก เพราะตามธรรมเนียมยิว น้ำจากภาชนะของสะมาเรียน ถือเป็นของมลทิน

คุยกันอยู่พักนึง พระเยซูชวนให้หญิงนั้นได้ดื่มน้ำแห่งชีวิต แต่หญิงสะมาเรียนก็ยังสนใจแต่น้ำดื่มที่จะดับความกระหายของเธอได้ แม้เธอจะเอ่ยปากขอน้ำนั้นด้วยความเข้าใจผิดแล้วก็ตาม

เมื่อถูกร้องขอ พระเยซูทรงเปิดบ่อน้ำพุแห่งชีวิตของหญิงนั้นทันที ทรงเปลี่ยนเรื่องพูด แล้วตามมาด้วยถ้อยคำที่ดูจะสบประมาทเธออย่างรุนแรง "ไปเรียกสามีเจ้ามาที่นี่สิ" "ถูกแล้วที่เจ้าว่าเจ้าไม่มีสามี ความจริงก็คือ เจ้ามีสามีมา 5 คนแล้ว และผู้ชายที่เจ้าอยู่ด้วยตอนนี้ ก็ไม่ใช่สามีของเจ้า"
โดยตามธรรมเนียมยิวแล้ว ผู้หญิงจะหย่าได้ 2 ครั้ง อย่างมากก็ไม่เกิน 3 ดังนั้น ถ้าสะมาเรียนใช้ธรรมเนียมเดียวกัน หญิงคนนี้ก็ประพฤตินอกธรรมเนียม เป็นไปได้ว่า เธอไม่ได้แต่งงานกับผู้ชายคนปัจจุบันที่เธออยู่ด้วย

ดูท่าทาง สาวเจ้าจะรู้สึกไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่ แม้จะยอมรับในความ "เหนือ" ของพระเยซู ว่าพระองค์เป็นผู้เผยพระวจนะ แต่นางก็เริ่มโต้ตอบเบี่ยงเบนประเด็นออกจากเรื่องสามีของนาง... นางเถียงเรื่อง สถานที่ในการนมัสการ

พระเยซูเลยโชว์เหนือของแท้ บอกว่า แม้สะมาเรียนจะนมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้ แต่รู้จักพระเจ้าที่ตัวเองนมัสการอยู่น้อยเหลือเกิน และนับจากนี้ไป ผู้ที่นมัสการจริงๆ จะต้องรู้จักพระเจ้าที่ตัวเองนมัสการอยู่ พระเจ้าปรารถนาเช่นนั้น พระองค์เป็นพระวิญญาณ ผู้ที่นมัสการพระองค์จึงต้องนมัสการ (หรือดำเนินชีวิต) ในพระวิญญาณ และในความจริง (ซึ่งก็คือตัวพระเยซูเอง) มันไม่ใช่เรื่องของสถานที่ว่าเรานมัสการที่ไหน แต่อยู่ที่ไหนเราก็นมัสการพระเจ้าพระบิดาได้ ตราบที่เราอยู่ในพระเยซู...

แต่หญิงสะมาเรียนยังไม่ยอมแพ้และพยายามจะปิดการสนทนานี้เสีย (คงจะรำคาญพระเยซูเต็มทน) เธอบอกว่า เธอรู้อยู่แล้วว่าเมื่อพระผู้ช่วยเสด็จมา พระองค์จะอธิบายเรื่องเหล่านี้ (เพราะด้วยความที่สะมาเรียนส่วนใหญ่รู้พระคัมภีร์น้อย จึงมักคิดว่าพระคริสต์จะมีลักษณะคล้ายๆ ผู้ที่รู้และเข้าใจสิ่งต่างๆอย่างดี) ท่าทางเธอจะปรามๆ พระเยซูอยู่บ้างว่าอย่ามาทำอวดรู้

พระเยซู (คงยิ้มๆ) จึงสรุปเรื่องทั้งหมดว่า คนที่กำลังพูดกับเธออยู่นี่แหล่ะคือคนนั้น

พอดีกับที่เหล่าสาวกของพระเยซูกลับมา ต่างก็ตะลึงไปตามๆกัน เพราะธรรมเนียมสมัยนั้น อาจารย์สอนศาสนาของยิวยากที่จะพูดคุยกับหญิงสาวในที่สาธารณะ

หญิงสะมาเรียนก็คงตกใจไม่แพ้กัน ทิ้งเหยือกน้ำเธอไว้วิ่งกลับไปที่ตัวเมือง หน้าตาเธอคงตื่นๆ พอสมควร เธอเล่าให้ชาวเมืองฟังว่ามีคนที่บอกสิ่งที่เธอเคยทำไว้ได้ทุกอย่าง "ลองไปดูซิ คนนั้นจะเป็นพระคริสต์ได้ไหม" แม้เธอจะไม่ได้คาดคั้นให้ชาวเมืองยอมรับ แต่ตัวเธอเองก็ไม่อาจปฎิเสธได้

คนในเมืองนั้นหลายคนก็ได้เชื่อวางใจในพระเยซู เนื่องจากคำพยานของหญิงนั้น เมื่อพวกเขาไปพบพระเยซู ก็ได้ขอให้พระองค์พักอยู่กับเขา พระองค์ได้ทรงสอนชาวเมืองอีกหลายสิ่ง ทำให้อีกหลายคนที่ได้กลับใจเชื่อวางใจในพระเยซู

คนในเมืองบอกหญิงสะมาเรียนว่า ความเชื่อของพวกเขาไม่ได้อยู่บนสิ่งที่หญิงนั้นพูดอีกต่อไป แต่เพราะเขาสิ่งที่พวกเขาได้ยินจากพระเยซู และรู้ว่าแท้จริงแล้ว พระองค์คือพระผู้ช่วยให้รอดของโลกนี้ พวกเขารู้แล้วว่า พระเยซูไม่ได้มาเพียงเพื่อสอน แต่มาเพื่อ "ช่วย" และไม่เพียงช่วยคนรู้น้อย ด้อยค่าทางสังคมเช่นพวกเขา แต่ทรงช่วยมนุษย์หมดสิ้นทั้งโลก

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในระยะเวลาสองวัน หลังจากนั้น พระเยซูก็ทรงเสด็จเดินทางต่อไปยังแคว้นกาลิลี...