วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2555

จุดเปลี่ยน

เราทุกฅน ต่างมีช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต
ที่ส่งผลต่อชีวิตของเราที่เหลืออยู่อีกทั้งชีวิต
เป็นประสบการณ์ซึ่งส่งผลแก่ชีวิตของเราให้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

เราเรียกเหตุการณ์ลักษณะนั้นว่า จุดเปลี่ยน (turning point)

โดยปกติ ชีวิตฅนเราจะมาถึงจุดเปลี่ยน
เมื่อมีเหตุการณ์สำคัญๆ เกิดขึ้น แล้วส่งผลกระทบชีวิตของเรา
เช่น ย้ายโรงเรียน เปลี่ยนงาน มีแฟนหรือเลิกกับแฟน
แต่งงานหรือหย่า ฅนสำคัญในครอบครัวเสียชีวิตหรือมีลูก
ย้ายบ้าน ออกจากงานฯลฯ
ไม่ว่าจะเหตุการณ์เล็กหรือใหญ่ สำคัญว่าเรา "รู้สึก"
และทำให้เราตระหนักว่า เราใช้ชีวิตเหมือนเดิมอีกต่อไปไม่ได้แล้ว

สำหรับฅนที่รู้จักพระเจ้า จุดเปลี่ยนของชีวิตจะเกิดขึ้นได้บ่อยครั้งกว่า
ทุกครั้งเมื่อเราพบกับพระเจ้า ชีวิตของเราจะเปลี่ยนไป
ไม่เหมือนเดิมอีกตลอดกาล

โมเสส พบกับพระเจ้า ณ พุ่มไม้ติดไฟแต่ไม่ไหม้
จากฅนขี้กลัว พูดติดอ่าง เขากลายเป็นผู้นำชนชาติ
ผู้ที่หาญกล้าต่อรองกับฟาโรห์ผู้ทรงอานุภาพในยุคสมัยนั้น

อัครทูตเปาโล พบพระเจ้าบนถนน ขณะเดินทางเพื่อไปข่มเหงคริสเตียน
เขาตาบอดไป ๓ วัน แต่หลังจากนั้น เขากลายเป็นผู้เผยแผ่ ข่าวดี ของพระเจ้า
เป็นผู้เทศนาสอนคริสเตียนให้เติบโตขึ้นในพระคุณพระเจ้า
เป็นผู้ที่มีผลมากฅนหนึ่งในประวัติศาสตร์คริสตจักร

เมื่อเดือนตุลาคม 1999
ผมเกิดความสับสนระหว่างเสียงของพระเจ้ากับเสียงของผู้เลี้ยง
เมื่อสองเสียงซึ่งน่าจะเป็นไปในทิศทางเดียวกันกลับไม่สอดคล้องกัน
ด้วยนิสัยของผม ผมจะหยุดเดินเมื่อสงสัยหรืองง เพื่อคลี่คลายความไม่รู้นั้น
ประกอบกับผมเห็นบางเรื่องในคริสตจักร ซึ่งผมคิดว่าเป็นปัญหา
ผมเชื่อว่า ถ้าเด็กๆ อย่างเรายังเห็น ผู้ที่เติบโตกว่าเราก็น่าจะเห็น
แล้วทำไมถึงไม่จัดการหรือทำอะไรเพื่อแก้ไขบ้าง

ผมหยุดไปคริสตจักรประมาณ ๕ เดือน
ใช้ชีวิตอย่างปกติสุขเหมือนฅนไม่รู้จักกับพระเจ้าทั่วๆ ไป

จนกระทั่งเย็นวันหนึ่ง ขณะกำลังอาบน้ำ
อยู่ๆ ผมก็คิดถึงพระเจ้า ผมรำพึงในใจว่า "ไม่ได้คุยกันนานแล้วนะ พระองค์"
เหมือนพระเจ้าคงคอยผมอยู่
มีเสียงตอบกลับก้องขึ้นมาในใจของผม "พรุ่งนี้ ไปโบสถ์สิ จะพูดด้วย"

ผมเกิดความตระหนักรู้ถึงความอ่อนแอของตนเอง
และการขัดขวางที่จะเกิดขึ้นเพื่อไม่ให้ผมไปโบสถ์ในวันรุ่งขึ้น
หากผมอยู่เพียงลำพังในค่ำคืนนั้น
ผมโทรหารุ่นพี่ฅนหนึ่ง เพื่อขอให้เขามานอนเป็นเพื่อน
เพื่อผมจะขอยืมความเชื่อของเขามาใช้ ให้ไปโบสถ์ได้ในวันพรุ่ง

เช้าวันอาทิตย์รุ่งขึ้น
ตั้งแต่ก้าวแรกที่เหยียบเข้าไปในห้องประชุมคริสตจักร ประมาณ ๘ โมงครึ่ง
จนกระทั่งขึ้นรถเมล์กลับบ้านประมาณ ๕ โมงเย็น
พระเจ้าพูดกับผมตลอดทั้งวัน
ทั้งพูดผ่านคำเผยพระวจนะระหว่างนมัสการ พูดผ่านพี่น้องบางฅน
พูดกับผมส่วนตัว ผ่านทางการสนทนาของฅนอื่น (ไปแอบฟังเขา ว่างั้นเหอะ)
หรือแม้แต่แผ่นกระดาษที่มีฅนลืมไว้บนโต๊ะกินข้าว

ถ้อยความแรกของวันนั้น พระเจ้าบอกว่า การเห็นปัญหานั้นดีแล้ว
แต่การแก้ปัญหาต้องเริ่มจากตัวเราก่อน ผู้อื่นภายหลัง
เริ่มจากภายในสู่ภายนอก ไม่ใช่ออกไปข้างนอกแล้วแก้ปัญหาเข้ามา

พระเจ้ายังพูดกับผมอีกหลายเรื่อง
จนสุดท้ายก่อนกลับบ้าน ผมสัญญากับพระเจ้าด้วยความเต็มใจว่า
"ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมจะไม่ทิ้งพระเจ้าและคริสตจักรของพระองค์"
ผมขอพระเจ้าว่า
"หากพระเจ้าทรงโปรด เมื่อพระองค์ให้ผมเห็นแล้ว ก็ขอให้ผมได้มีส่วนช่วยด้วย"
คำสัญญาส่วนตัวซึ่งพระเจ้าให้ผมกลับมาหลังจากเหตุการณ์นี้ คือ
พระเจ้าให้มือซ้ายไว้ใช้ซ่อม และให้มือขวาไว้ใช้สร้าง

จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว
มีหลายครั้งที่ผมรู้สึกเบื่อหน่าย ผู้ที่เรียกตัวเองว่า คริสเตียน
ผู้ที่ป่าวประกาศว่า ตนรู้จักพระเจ้า
จนอยากจะหลบไปใช้ชีวิตตามใจตัวเอง ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับใคร
(ซึ่งอันที่จริง ผมก็ทำไปแล้ว)
แต่เหตุการณ์ในวันนั้นก็จะผุดขึ้นมาเตือนใจอยู่เสมอ

แม้บางช่วงของชีวิต อาจเข้าใจหรือเชื่อบางเรื่องผิดแปลกไป
อาจจะหมดหวังท้อแท้ จนใช้ชีวิตตามใจตัวเอง
ใช้ชีวิตอย่างฅนที่ต้องการจะฝังอดีตของตัวเองไว้
แต่พระคัมภีร์ที่ว่า การมีชีวิตอยู่เพื่อพระคริสต์
ปณิธานว่า ขอเป็นส่วนหนึ่งเพื่อช่วยให้คริสตจักรเติบโตขึ้น
ก็ยังคงก้องอยู่ในใจตลอดมา

ณ วันนี้ ผมพูดเสมอว่า ผมไม่ใช่ฅนเก่งอะไร ออกจะโง่ด้วยซ้ำ
ผมไม่ใช่ฅนดีอะไร ผมทำบาปมากมายแค่ฅนอื่นไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็น
แต่ผมก็ยังเป็นผม และผมก็จะทำในสิ่งที่ผมเชื่อ

"for Christ; what ever we can, we could"
"เพื่อพระคริสต์แล้ว อะไรที่เราทำได้ เราควรทำ"

(ความจริงแล้ว พระเจ้าทรงกระทำได้ทุกสิ่ง
อยู่ที่ว่า เรา จะยอมให้พระเจ้าใช้ชีวิตของเราไหม)