วันจันทร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2552

ก่อนจะเตือนใคร...

มีน้องคนหนึ่ง เพื่อนบ้านแถวๆนี้ อ่านพระคัมภีร์แล้วไม่เข้าใจ ก็เลยลองไปอ่านดูบ้าง เห็นว่าน่าสนใจ ขอเอามาลงแบ่งปันไว้ที่นี่ด้วยนะ

มธ.7:1-6

1 "อย่ากล่าวโทษเขา เพื่อพระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษท่าน
2 เพราะว่าท่านทั้งหลายจะกล่าวโทษเขาอย่างไร พระเจ้าจะทรงกล่าวโทษท่านอย่างนั้น และท่านจะตวงให้เขาด้วยทะนานอันใด พระเจ้าจะได้ทรงตวงให้ท่านด้วยทะนานอันนั้น
3 เหตุไฉนท่านมองดูผงที่ในตาพี่น้องของท่าน แต่ไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาของท่าน ท่านก็ไม่รู้สึก
4 เหตุไฉนท่านจะกล่าวแก่พี่น้องว่า "ให้เราเขี่ยผงออกจากตาของเธอ" แต่ที่จริงไม้ทั้งท่อนมีอยู่ในตาของท่านเอง
5 ท่านคนหน้าซื่อใจคด จงชักไม้ทั้งท่อนออกจากตาของท่านก่อน แล้วท่านจะเห็นได้ถนัด จึงจะเขี่ยผงออกจากตาพี่น้องของท่านได้
6 "อย่าให้ของประเสริฐแก่สุนัข อย่าโยนไข่มุกให้แก่สุกร เกลือกว่ามันจะเหยียบย่ำเสีย และจะหันกลับมากัดตัวท่านด้วย

หากพิจารณาทั้งบริบทตั้งแต่ข้อ1-6 เราจะพบว่า พระเยซูกำลังสอนเราเรื่อง ท่าทีในการเตือนคน
โดยแบ่งเป็น 2 หมวด

หมวดแรก พิจารณาท่าทีตนเอง
1. ผู้จะเตือนคนอื่นต้องรู้หลักการและความจริงในเรื่องนั้นๆที่จะเตือน (ข้อ1-2)การที่เราจะกล่าวโทษผู้อื่นได้ นั่นคือ เราต้องรู้ว่าสิ่งใดถูก/ผิดก่อน นั่นคือ เราต้องรู้หลักการและความจริง
2. เตือนด้วยใจปรารถนาช่วยเหลือ มิใช่ทำร้ายทำลายกัน "อย่ากล่าวโทษ"
3. เตือนด้วยการสำนึกว่าเราจะต้องรับผิดชอบการเตือนนี้กับพระเจ้า (ข้อ 2)
4. เตือนด้วยใจถ่อม สำนึกว่าเราทั้งหลายต่างมีโอกาสสามารถทำผิดพลาดได้ (ไม่ได้คิดว่าฉันดีกว่าเธอ)(ข้อ 3)
5. เตือนคนอย่างสมจริงสมจัง (ไม่เตือนคนอย่างเพ้อเจ้อ) (ข้อ4) เข้าใจบริบทของเขาตามความเป็นจริง หากไม้ทั้งท่อนยังอยู่ในตาของเรา เราจะเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามจริงได้อย่างไร นอกจากเห็นตามที่เราคิดเอาเองว่าจริง
6. เตือนคนด้วยชีวิต (ข้อ 5) การชักไม้ออกจากตา เล็งถึงการกลับใจใหม่ การเตือนที่มีพลัง เกิดจากการเตือนของคนที่มีชีวิตอยู่ในความจริง ระดับความจริงในชีวิตสูงกว่า สิทธิอำนาจในความจริงสูงกว่า จึงสามารถนำความจริงนั้นมา ปลดปล่อย ผู้อื่นได้

หมวดสอง พิจารณาท่าทีของผู้ที่เราจะเตือน
7. เตือนผู้ที่รับฟังคำเตือน (ข้อ6)
ของบริสุทธิ์หรือของประเสริฐ กับ ไข่มุก เล็งถึง หลักการและความจริงของข่าวประเสริฐ ในข้อนี้ พระคัมภีร์กำลังให้น้ำหนักถึงการไม่ควรกล่าวเตือน/แนะนำ แก่คนที่จมปลักอยู่ในความเลวทราม เพราะเขาจะรับมันด้วยความรู้สึกดูถูกเหยียดหยามคำเตือนและหันกลับมาตำหนิเราผู้เตือนด้วย เราพบว่าในพระธรรม สุภาษิต ก็มีการกล่าวถึงเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน เช่น สภษ.9:8 "..อย่าตักเตือนคนมักเยาะเย้ย เพราะเขาจะเกลียดเจ้า.."

เคยมีคนบอกว่า การใช้ความจริง กับความรัก ต้องใช้คู่กันอย่างเหมาะสม จึงจะเกิดประสิทธิภาพสูงสุด แต่หากใช้ไม่เป็นจะเป็นการลดทอนผลซึ่งกันและกัน
เมื่อก่อนสิ้นปี ประเด็นนี้ก็วนกลับมาสู่ความคิดอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่เข้าใจอะไรเพิ่มมากขึ้น จนได้ใคร่ครวญพระธรรมตอนนี้ในวันนี้

ผมเข้าใจมากขึ้นว่า วิธีการในการใช้ความจริงกับความรักด้วยกัน คือ การใช้สิทธิอำนาจในความจริงด้วยหัวใจที่รักและปรารถนาดีต่อผู้นั้น น่าจะเป็นหนทางที่เหมาะสมที่สุด เท่าที่ผมเข้าใจในเวลานี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น