วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2552

2 วันในแคว้นสะมาเรีย (ยน.4:1-42)

พระคัมภีร์เริ่มต้นด้วยว่า เมื่อพระเยซูรู้ว่า พวกฟาริสีได้ิยินว่าพระองค์มีสาวกเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ พระองค์ก็เสด็จออกจากแคว้นยูเดีย เพื่อขึ้นไปยังแคว้นกาลิลีที่อยู่ทางเหนือ (สงสัยพระเยซู คงรำคาญพวกนี้นะ วันๆไม่ทำอะไร เอาแต่ซุบซิบ สนใจเรื่องชาวบ้าน)
ปกติชาวยิวทั่วไป จะข้ามแม่น้ำจอร์แดนมาเดินทางฝั่งตะวันออก เพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าไปในถิ่นของชาวสะมาเรีย ซึ่งเป็นแคว้นที่อยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน และเป็นทางผ่านระหว่างยูเดียกับกาลิลี แต่พระเยซูจงใจเดินตรงไปเข้าไปในแคว้นสะมาเรียเลยครับ

ช่วงเที่ยงๆ พระเยซูนั่งพักเหนื่อยอยู่ริมบ่อน้ำ ปกติชาวบ้านจะมาตักน้ำกันช่วงเย็นๆ แต่เที่ยงวันนี้ มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาตักน้ำ (ท่าทางจะไม่อยากเจอหน้าผู้คนเท่าไหร่) พระเยซูเปิดฉากขอน้ำจากหญิงนั้นดื่ม สร้างความงุนงงให้กับสาวเจ้าอย่างมาก เพราะตามธรรมเนียมยิว น้ำจากภาชนะของสะมาเรียน ถือเป็นของมลทิน

คุยกันอยู่พักนึง พระเยซูชวนให้หญิงนั้นได้ดื่มน้ำแห่งชีวิต แต่หญิงสะมาเรียนก็ยังสนใจแต่น้ำดื่มที่จะดับความกระหายของเธอได้ แม้เธอจะเอ่ยปากขอน้ำนั้นด้วยความเข้าใจผิดแล้วก็ตาม

เมื่อถูกร้องขอ พระเยซูทรงเปิดบ่อน้ำพุแห่งชีวิตของหญิงนั้นทันที ทรงเปลี่ยนเรื่องพูด แล้วตามมาด้วยถ้อยคำที่ดูจะสบประมาทเธออย่างรุนแรง "ไปเรียกสามีเจ้ามาที่นี่สิ" "ถูกแล้วที่เจ้าว่าเจ้าไม่มีสามี ความจริงก็คือ เจ้ามีสามีมา 5 คนแล้ว และผู้ชายที่เจ้าอยู่ด้วยตอนนี้ ก็ไม่ใช่สามีของเจ้า"
โดยตามธรรมเนียมยิวแล้ว ผู้หญิงจะหย่าได้ 2 ครั้ง อย่างมากก็ไม่เกิน 3 ดังนั้น ถ้าสะมาเรียนใช้ธรรมเนียมเดียวกัน หญิงคนนี้ก็ประพฤตินอกธรรมเนียม เป็นไปได้ว่า เธอไม่ได้แต่งงานกับผู้ชายคนปัจจุบันที่เธออยู่ด้วย

ดูท่าทาง สาวเจ้าจะรู้สึกไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่ แม้จะยอมรับในความ "เหนือ" ของพระเยซู ว่าพระองค์เป็นผู้เผยพระวจนะ แต่นางก็เริ่มโต้ตอบเบี่ยงเบนประเด็นออกจากเรื่องสามีของนาง... นางเถียงเรื่อง สถานที่ในการนมัสการ

พระเยซูเลยโชว์เหนือของแท้ บอกว่า แม้สะมาเรียนจะนมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้ แต่รู้จักพระเจ้าที่ตัวเองนมัสการอยู่น้อยเหลือเกิน และนับจากนี้ไป ผู้ที่นมัสการจริงๆ จะต้องรู้จักพระเจ้าที่ตัวเองนมัสการอยู่ พระเจ้าปรารถนาเช่นนั้น พระองค์เป็นพระวิญญาณ ผู้ที่นมัสการพระองค์จึงต้องนมัสการ (หรือดำเนินชีวิต) ในพระวิญญาณ และในความจริง (ซึ่งก็คือตัวพระเยซูเอง) มันไม่ใช่เรื่องของสถานที่ว่าเรานมัสการที่ไหน แต่อยู่ที่ไหนเราก็นมัสการพระเจ้าพระบิดาได้ ตราบที่เราอยู่ในพระเยซู...

แต่หญิงสะมาเรียนยังไม่ยอมแพ้และพยายามจะปิดการสนทนานี้เสีย (คงจะรำคาญพระเยซูเต็มทน) เธอบอกว่า เธอรู้อยู่แล้วว่าเมื่อพระผู้ช่วยเสด็จมา พระองค์จะอธิบายเรื่องเหล่านี้ (เพราะด้วยความที่สะมาเรียนส่วนใหญ่รู้พระคัมภีร์น้อย จึงมักคิดว่าพระคริสต์จะมีลักษณะคล้ายๆ ผู้ที่รู้และเข้าใจสิ่งต่างๆอย่างดี) ท่าทางเธอจะปรามๆ พระเยซูอยู่บ้างว่าอย่ามาทำอวดรู้

พระเยซู (คงยิ้มๆ) จึงสรุปเรื่องทั้งหมดว่า คนที่กำลังพูดกับเธออยู่นี่แหล่ะคือคนนั้น

พอดีกับที่เหล่าสาวกของพระเยซูกลับมา ต่างก็ตะลึงไปตามๆกัน เพราะธรรมเนียมสมัยนั้น อาจารย์สอนศาสนาของยิวยากที่จะพูดคุยกับหญิงสาวในที่สาธารณะ

หญิงสะมาเรียนก็คงตกใจไม่แพ้กัน ทิ้งเหยือกน้ำเธอไว้วิ่งกลับไปที่ตัวเมือง หน้าตาเธอคงตื่นๆ พอสมควร เธอเล่าให้ชาวเมืองฟังว่ามีคนที่บอกสิ่งที่เธอเคยทำไว้ได้ทุกอย่าง "ลองไปดูซิ คนนั้นจะเป็นพระคริสต์ได้ไหม" แม้เธอจะไม่ได้คาดคั้นให้ชาวเมืองยอมรับ แต่ตัวเธอเองก็ไม่อาจปฎิเสธได้

คนในเมืองนั้นหลายคนก็ได้เชื่อวางใจในพระเยซู เนื่องจากคำพยานของหญิงนั้น เมื่อพวกเขาไปพบพระเยซู ก็ได้ขอให้พระองค์พักอยู่กับเขา พระองค์ได้ทรงสอนชาวเมืองอีกหลายสิ่ง ทำให้อีกหลายคนที่ได้กลับใจเชื่อวางใจในพระเยซู

คนในเมืองบอกหญิงสะมาเรียนว่า ความเชื่อของพวกเขาไม่ได้อยู่บนสิ่งที่หญิงนั้นพูดอีกต่อไป แต่เพราะเขาสิ่งที่พวกเขาได้ยินจากพระเยซู และรู้ว่าแท้จริงแล้ว พระองค์คือพระผู้ช่วยให้รอดของโลกนี้ พวกเขารู้แล้วว่า พระเยซูไม่ได้มาเพียงเพื่อสอน แต่มาเพื่อ "ช่วย" และไม่เพียงช่วยคนรู้น้อย ด้อยค่าทางสังคมเช่นพวกเขา แต่ทรงช่วยมนุษย์หมดสิ้นทั้งโลก

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในระยะเวลาสองวัน หลังจากนั้น พระเยซูก็ทรงเสด็จเดินทางต่อไปยังแคว้นกาลิลี...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น