วันจันทร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2552

อนิจจัง อนิจจัง อนิจจัง

ตั้งแต่ 6โมงเช้าวันอาทิตย์ ผมเริ่มต้นอดอาหารอธิษฐาน ตั้งใจว่าจะอดตลอดช่วงวันหยุดสงกรานต์ รวมๆแล้วก็ไม่กี่วันเอง
อดอาหารอธิษฐานมาได้ 34 ชม. ไม่มีน้ำหรืออาหารตกถึงท้อง นอกจาก อธ.กับอ่านพระคัมภีร์ และฟุบหลับ... (อนาถจิตดีแท้)

จริงๆก่อนหน้านี้ ผมตั้งใจว่า ช่วงสงกรานต์จะเป็นช่วงเคลียร์งาน มีหลายๆอย่างที่ผมอยากจะคิดลงรายละเอียดเพื่อนำเสนอคจ. เเต่ก็มีวาระแทรกจากความหวังดีและห่วงใยของผู้นำที่รักยิ่งของเรา

มาถึงจุดหนึ่งที่ต้องยอมรับว่า ผมหูอื้อ ตาลาย หน้ามืด อธ.ต่อไปก็มึนแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องคิดงาน ไอ้ครั้นจะดื่มน้ำเสียหน่อย ก็รู้สึกฟ้องผิดกับสิ่งที่ตั้งใจไว้ แต่ครั้งจะอดอาหารอธ.ต่อ ก็รู้สึกว่าเป็นการดันทุรัง และมีอาการรักษาหน้ากับพระเจ้ามากกว่าจะรักษาใจกับพระองค์ หากแม้นอดอาหารต่อไป พระเจ้าก็ดูเหมือนจะไม่พอพระทัยเสียด้วยซ้ำ ดูเป็นการทรมานร่างกาย เหมือนตอนที่เจ้าชายสิททัตถะทรมานตนยังไงก็ไม่รู้สิ

ผมหวนระลึกถึงบางเรื่องขึ้นมาได้...

ผม...เคยมีอาการอย่างนี้ครั้งหนึ่งแล้วนี่นา หากเล่าให้หลายคนฟัง เขาคงรู้สึกเลื่อมใส ที่ผมสามารถอดอาหารอธ.ได้ยาวนาน แต่ครั้งนั้น ผมเรียนรู้ว่า ผมได้ฝืนทำในสิ่งที่ไม่เป็นตัวเอง ฝืนใจพระเจ้า แน่นอนว่าสุดท้าย คนที่รู้ดีกว่าใครถึงผลลัพธ์ที่ผมได้รับว่าคือสิ่งใด ก็คือตัวผมเอง

ผมจำได้ว่า ครั้งนั้น ผมจึงบอกกับพระเจ้าไว้ว่า ผมจะไม่อดอาหารอธ.เองแบบบ้าหักโหมเช่นนี้อีก ไม่ใช่เพราะผมขาดความเชื่อ แต่เพราะการทรงสร้างของแต่ละคนไม่เหมือนกัน

จุดเน้นย้ำของพระเจ้าในชีวิตผมคือ การมีชีวิตให้มีความสุขอย่างสมดุลย์ โดยปกติผมอธ.ง่ายๆ เชื่อง่ายๆ พระเจ้าก็ตอบง่ายๆ ไม่ได้จำเป็นต้องไปทำให้มันยุ่งยากวุ่นวายใหญ่โตเหมือนที่ใครหลายคนคิดหรือเชื่ออย่างนั้น

คิดแล้วก็เสียใจ เผลอปล่อยตัวไปกับความเชื่อของคนอื่น แทนที่จะได้คิดงานที่มั่นใจได้ว่าเป็นประโยชน์ต่อคริสตจักร และอาณาจักรภาพรวมแน่ กลับต้องมาเสียเวลานั่งฟื้นฟูสภาพตัวเองอีก เฮ่อ เหมือนถูกมารหลอกเลยอ่ะ

พระเจ้าก็พูดชัดเจน พระองค์พอพระทัยการกระทำที่เป็นผลของความเชื่อ แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าก็ไม่ได้เลย (ฮบ.11:6)

หากเราเองทำสิ่งที่เราไม่เชื่อ ไม่ว่าจะเนื่องด้วยเหตุผลใด หรือจะไปพยายามหว่านล้อมให้ผู้อื่นทำในสิ่งที่เขาไม่เชื่อ ด้วยตรรกะความคิดและความเชื่อของเรา เหล่านี้ ล้วนกินลมกินแล้ง พระคัมภีร์ เรียกว่า อนิจจัง ( meaningless) ส่วนตัวผมเองชอบเรียกสิ่งนี้ว่า "ไร้สาระ"

... ความสงบสุขกำมือหนึ่งยังดีกว่าการงานตรากตรำสองกำมือและการกินลมกินแล้ง (ปัญญาจารย์ 4:6) คุณว่าจริงไหม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น