พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า "เราเป็นอาหารแห่งชีวิต ฅนที่มาหาเราจะไม่หิว และฅนที่วางใจในเราจะไม่กระหายอีกเลย"
พระธรรมยอห์น บทที่ ๖ ข้อ ๓๕
เรามักได้ยินคำสอนที่ว่า การอ่านพระคัมภีร์เปรียบดั่งการกินอาหาร
ซึ่งจะช่วยให้จิตวิญญาณเราเติบโตขึ้น เราจึงควรอ่านพระคัมภีร์ทุกวัน
คำพูดนี้สะท้อนความเข้าใจผิดของเราเองเรื่องหนึ่ง... เรื่องอาหาร
คำพูดนี้สะท้อนความเข้าใจผิดของเราเองเรื่องหนึ่ง... เรื่องอาหาร
เราเข้าใจว่าอาหารเป็นสิ่งจำเป็น
ความจริงแล้ว ไม่ใช่
ร่างกายไม่ได้ต้องการ อาหาร
ร่างกายต้องการ สารอาหาร ต่างหาก
อาหาร คือ ภาชนะที่บรรจุสารอาหารไว้ข้างใน
ซึ่งไม่แน่เสมอไปว่า การที่เราได้รับอาหาร จะเท่ากับเราได้สารอาหาร
เช่นเดียวกัน
สิ่งที่จิตวิญญาณต้องการคืออะไร การรู้พระวจนะคำพระเจ้า... อย่างนั้นหรือ
สิ่งที่จิตวิญญาณต้องการคืออะไร การรู้พระวจนะคำพระเจ้า... อย่างนั้นหรือ
เรามักเข้าใจว่า เมื่อเรากินอาหาร เราก็จะเติบโตขึ้น
เพราะเราจะได้รับสารอาหารที่ร่างกายต้องการ
เราเข้าใจอย่างนั้น เพราะเราเรียนมาอย่างนั้น...
หากเรากิน เนื้อสัตว์ เราจะได้ โปรตีน
หากเรากิน ข้าว เราจะได้ แป้ง
หากเรากิน ผัก เราจะได้ เกลือแร่
หากเรากิน ผลไม้ เราจะได้ วิตามิน
หากเรากิน ข้าว เราจะได้ แป้ง
หากเรากิน ผัก เราจะได้ เกลือแร่
หากเรากิน ผลไม้ เราจะได้ วิตามิน
ทั้งที่ในความเป็นจริง อกไก่ กับ หมูเนื้อแดง ให้โปรตีนต่างกัน
น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี กับ น้ำมันหมูใช้ซ้ำค้างคืน ให้ไขมันเลวไม่ต่างกัน
ข้าวขัดขาว กับ ข้าวแดง ให้แป้งและนํ้าตาลต่างกัน (มาก)
ผักแต่ละชนิดให้เกลือแร่ต่างกัน
ผลไม้ เมื่อเก็บมาจากต้นแล้ว 1 วัน วิตามินก็แทบไม่เหลือแล้ว
นี่ยังไม่นับรวม สารเร่งเนื้อแดง ฮอร์โมนเร่งโต ยาฆ่าเชื้อรา ยาฆ่าแมลง ฟอร์มาลิน และสารเคมีนู่นนี่นั่นโน่นที่ปนเปื้อนมากับ อาหาร ที่เรากินเข้าไปและเข้าใจว่าเป็นประโยชน์กับร่างกาย
น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี กับ น้ำมันหมูใช้ซ้ำค้างคืน ให้ไขมันเลวไม่ต่างกัน
ข้าวขัดขาว กับ ข้าวแดง ให้แป้งและนํ้าตาลต่างกัน (มาก)
ผักแต่ละชนิดให้เกลือแร่ต่างกัน
ผลไม้ เมื่อเก็บมาจากต้นแล้ว 1 วัน วิตามินก็แทบไม่เหลือแล้ว
นี่ยังไม่นับรวม สารเร่งเนื้อแดง ฮอร์โมนเร่งโต ยาฆ่าเชื้อรา ยาฆ่าแมลง ฟอร์มาลิน และสารเคมีนู่นนี่นั่นโน่นที่ปนเปื้อนมากับ อาหาร ที่เรากินเข้าไปและเข้าใจว่าเป็นประโยชน์กับร่างกาย
(และไม่ต้องพูดถึง สินค้าโลวแฟท หรือ โปรตีนสูง ที่อุดมไปด้วยน้ำตาล)
หลายคนตั้งใจดี ชอบฟังเทศนา ชอบเรียนพระคัมภีร์ เพราะเข้าใจว่าจะเป็นประโยชน์และช่วยให้จิตวิญญาณของตนเติบโตขึ้น
จึงพยายามขวนขวายรู้เยอะๆ กินเยอะๆ จนบางคนเผลอเป็นดั่งที่พระเจ้าเตือนไว้แล้วว่า "ความรู้ทำให้ลำพองขึ้น"
การรู้พระวจนะคำของพระเจ้านั้นดีครับ ผมไม่ได้ต่อต้าน เพียงแต่ผมกำลังบอกว่า นั่นไม่เพียงพอ
พระคัมภีร์แสดงให้เราเห็น ให้เรารู้ความจริงว่าเป็นอย่างไร เป็นดั่งป้ายบอกทาง หรือประตูที่ใช้เปิดออก
เพื่อให้เรามีประสบการณ์กับความจริงนั้นๆ
ซึ่งการมีประสบการณ์ส่วนตัวกับพระเจ้า นั่นต่างหาก คือ สารอาหารแก่จิตวิญญาณของมนุษย์
อย่าให้เราหลงสบายใจว่า เรากินอาหารแล้ว จนลืมคิดต่อว่า เราได้รับสารอาหารแล้วหรือยัง
อาหารที่เรากินเข้าไป มันผ่านกระบวนการปรุงแต่งเสียจนแทบจะเหลือแต่ ซาก เท่านั้นหรือเปล่า
ซึ่งหากเป็นอย่างนั้น... อนิจจา อนิจจา อนิจจา
แต่ละวัน เราไม่ได้ต้องการ สารอาหาร มากเท่าไหร่นักหรอกครับ
แค่ให้เพียงพอ มีคุณภาพ และ ได้รับอย่างสม่ำเสมอ
เท่านี้ ชีวิตของเราก็จะแข็งแรงละฮะ
ท้ายที่สุดแล้ว
ผมก็เห็นด้วย หากจะเปรียบการอ่านพระวจนะคำของพระเจ้าเป็นดั่งการกินอาหาร
เพียงแต่ต้องพูดให้จบว่า สาระสำคัญของอาหารนั้น อยู่ที่สารอาหาร
อาหารที่ดี สด ใหม่ ได้รับการปรุงอย่างพิธีพิถันเท่านั้น จึงจะยังคงอุดมไปด้วย สารอาหาร
ซึ่งต้องการพ่อครัวในตำนานอย่าง พระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นผู้ปรุงให้เรา
เผื่อใครรู้จักนักเทศน์ขวัญใจผมที่ชื่อ Tozer ลองอ่านบทบรรณาธิการของเขาดูก็ได้นะฮะ เขาเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ http://www.worldinvisible.com/library/tozer/5f00.0888/5f00.0888.p.htm