วันอาทิตย์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

การทดลองของพระเจ้า

เมื่อผมยังเด็ก ผมถูกสอนว่า การทดสอบมาจากพระเจ้า การทดลองมาจากมาร
การทดสอบมีเพื่อให้เราผ่าน เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าให้เราเจอ
ส่วนการทดลองนั้น มีเพื่อให้เราล้มลง เป็นเจตน์จำนงค์ของซาตาน...

ผมเชื่ออย่างนั้นสุดใจ...

ผ่านไปราวสิบกว่าปี เมื่อความคิดเริ่มเติบใหญ่ขึ้น เริ่มอ่านพระคัมภีร์เองเป็น
กรณีคลาสสิคของชีวิตท่านโยบ การเข้าถิ่นทุรกันดารของพระเยซู
รวมถึงคำอธิษฐาน ณ สวนเกซเซมาเน และ ที่เนินเขาโกละโกธาของพระองค์ด้วย
ความจริงที่บันทึกอยู่ในพระคัมภีร์เหล่านี้ เริ่มสร้างความสับสนให้กับผมทีละน้อยๆ
มีหลายคำถามที่ไม่สามารถหาคำตอบได้อย่างกระจ่าง แม้ฟังดูเป็นคำถามพื้นๆ ธรรมดา
ผมเริ่มเห็นว่า สิ่งที่อยู่ในพระคัมภีร์ แม้จะคล้ายๆ กัน แต่มันช่างไม่สอดคล้องกับสิ่งที่เคยถูกสอนมาเสียจริง

ยิ่งเมื่อมาอ่านพระคัมภีร์ในภาษาเดิม และฉบับคิงเจมส์
ยิ่งพบความขัดแย้งในการตีความและความผิดพลาดในการแปล
รวมทั้งยังมีการลดทอนความหมายดั้งเดิมของพระคัมภีร์ไปมาก

ตอนนั้น ผมเริ่มมองว่า ทั้งการทดสอบและการทดลองนั้น
ต่างก็เป็นเหตุการณ์เดียวกันที่ล้วนอยู่ในการดูแลของพระเจ้า
พระเจ้าอยากให้เราผ่านและเรียนรู้จากสถานการณ์นั้นๆ
ขึ้นอยู่กับความเชื่อของเรา ว่าจะเป็นเช่นไร
หากเราเชื่อว่าเป็นสถานการณ์ที่มาจากพระเจ้า เราก็จะมีกำลังและผ่านพ้นไปได้
แต่หากเราเชื่อว่า มาจากมาร เราก็จะล้มลง
เข้าทำนองว่าในสถานการณ์เดียวกัน จะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับเราเลือกเชื่อและเลือกมอง
เหมือนกับว่าเป็นคนละด้านของเหรียญ ซึ่งจะเป็นพรต่อเราหรือไม่ ก็ขึ้นกับสายตาและมุมมองของเราเอง

มาถึงวันนี้ เมื่อเช้านั่งๆอยู่ ก็มีความคิดก็ผุดขึ้นมาในใจว่า พระเจ้านี่อยากให้เรารู้จักตัวเองนะ
ข้อพระคัมภีร์หลายข้อผุดขึ้นมาในหัว (ใจ) อย่างต่อเนื่อง
ให้เห็นว่าพระเจ้านี่เป็นนักลองใจตัวยง (แต่พระองค์ไม่ได้ล่อลวงเราให้หลงนะ)
พูดยังงี้ ไม่ได้บอกว่าผมจะไปทำแบบพระเจ้า ด้วยการเที่ยวไปลองใจคนนู้นคนนี้นะครับ

พระเจ้าลองใจเรา เพื่อให้เรารู้จักตัวเอง เพื่อประโยชน์ของเรา
มากไปกว่านั้น พระเจ้าจัดสถานการณ์ต่างๆได้อย่างพอเหมาะกับเรา
ซึ่งมันไม่มีมนุษย์หน้าไหนทำได้เช่นพระองค์

ผมเชื่อว่า การทดลองของพระเจ้าจึงไม่ใช่เรื่องของการสอบผ่านหรือสอบตก
แต่เป็นเรื่องของการรู้จักตัวเอง ยอมรับตัวเอง และรับการฝึกฝนชีวิต
เพื่อเราจะได้แข็งแรงและมั่นคงขึ้นในพระคุณของพระเจ้า

นอกจากเรื่องการทดลองของพระเจ้า ยังมีอีกหลายต่อหลายเรื่องที่ผมเคยถูกสอนมา
ไม่ใช่ว่าทั้งหมดนั้นผิด แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดนั้นถูก
เพียงแต่ส่วนใหญ่จะถูกแปรรูปและปนเปื้อนความคิดวิธีการของมนุษย์ลงไปแล้ว
และถูกนำเสนอมาในรูปแบบ อาหารบริสุทธิ์ ซึ่งมันทำให้ผมไม่ได้ระวังตัว
ยิ่งนานวันที่กินเข้าไป ก็สะสมพิษเอาไว้โดยที่ผมไม่รู้ตัว
กลายเป็นกรอบหนาๆ ที่ส่งผลต่อหลักความเชื่อและการมองโลกในชีวิตของผมอย่างมากอยู่หลายปี

บ่อยครั้งทีเดียว ที่มันทำให้ผมไปจดจ่ออยู่กับเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ
ยกตัวอย่าง เช่น คำถามประเภท ทำงานที่ไหนคือน้ำพระทัยพระเจ้า
ใครคือคู่น้ำพระทัย ทำอย่างไรจึงจะถวายเกียรติพระเจ้า อะไรที่ล้วนผิวเผินทำนองนี้
เราคิดเยอะไป (แบบคนไม่มีพระเจ้าคิด) เยอะจนเหนื่อย
ทั้งที่เรื่องน้ำพระทัยพระเจ้านั้นเรียบง่ายจนน่าตกใจ คือ คุณเชื่ออย่างไร คุณทำอย่างนั้น
(ขอย้ำว่าเชื่อ มิใช่ งมงาย และคุณต้องยินดีรับผลของความเชื่อของคุณด้วยนะ)
รวมถึงเรื่องอื่นๆ ที่คำตอบของพระเจ้าล้วนเรียบง่ายแต่ทว่าลึกซึ้ง...

ความผิดพลาดล้มเหลว มันเป็นเรื่องปกติของชีวิต
พระเจ้าทรงครอบครองและควบคุมอยู่ ไม่ใช่ตัวเรา
แผนการณ์และความคิดอาจจะเป็นของเรา แต่คำตอบก็มาจากพระเจ้า จริงไหม

ไม่ต้องกลัวว่าจะผิดพลาด จงกล้าหาญที่จะยอมรับความล้มเหลว
เพราะพระเจ้าทรงใช้ทุกอย่างร่วมกันเพื่อเป็นผลดีแก่เรา
พระเจ้าผู้ทรงเฝ้าระวังชีวิตของเราอยู่ไม่เคยหลับ พระองค์พร้อมช่วยเราเสมอ
พระเจ้าทรงอยู่ใกล้แค่คืบ พระเจ้าทรงใส่ใจเรา เส้นผมเราทุกเส้นก็ทรงนับไว้แล้ว
พระองค์เป็นพระเจ้าของคนเป็นมิใช่คนตาย พระเจ้าทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้ช่วยเรา
พระเจ้าไม่ได้มาเพื่อช่วยคนที่แข็งแรงดี แต่พระองค์มาแสวงหาคนที่บาดเจ็บฟกช้ำ เพื่อช่วยให้เขาหายดี...
ถ้าจะให้ผมเขียนต่อ ก็คงเขียนได้อีกหลายหน้า

ลองเปิดกะโหลกหนาๆ ออกซักนิด อาจจะเห็นชีวิตที่พระเยซูทรงให้เราแล้วอย่างบริบูรณ์ชัดเจนมากขึ้น

ไม่ต้องคิดเผื่อใคร ซุงทั้งท่อนในตาตัวเราเองนี่แหล่ะ เอาออกก่อนเลย

บทความนี้ ไม่ได้จะเขียนว่าใคร ออกจะเขียนเตือนใจตัวเองด้วยซ้ำ
และอยากจะแบ่งปันว่าตอนนี้ผมเชื่ออย่างนี้นะ หากจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นบ้าง ผมก็ดีใจด้วย
แต่หากทำใครให้รู้สึกระคายเคือง ก็ขออภัยล่วงหน้านะครับ

ขอพระเจ้าอวยพรทุกหัวใจที่รักและแสวงหาพระองค์
ให้มีเสรีภาพแท้ (ซึ่งได้รับมาแล้ว) ในการใช้ชีวิต (นิรันดร์) ร่วมกับพระเยซูคริสต์ครับ