วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2553

ความรัก จินตนาการ ความรู้

พระคัมภีร์ บอกว่า “ความรู้นั้นทำให้ลำพอง แต่ความรักเสริมสร้างขึ้น” (1คร. 8: 1)
ไอน์สไตน์ บอกว่า จินตนาการสำคัญกว่าความรู้
ผู้ชายคนหนึ่ง บอกว่า ความรักทำให้คนมีจินตนาการ...

คนมีจินตนาการชอบนึกถึงนู่นนี่นั่นโน่น ยิ่งรู้ว่าพระเจ้ารักเรา ก็ยิ่งจินตนาการว่าพระเจ้าจะทำเรื่องนั้นอย่างไร เรื่องนี้อย่างไร จะอวยพรเราอย่างไร แต่

ดังที่มีเขียนไว้แล้วว่า “สิ่งที่ตาไม่เห็น หูไม่ได้ยิน และไม่เคยได้เข้าไปในใจของมนุษย์ คือ สิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้แล้วเพื่อคนที่รักพระองค์” (1คร. 2: 9)

ดังนั้น คนที่มีจินตนาการสูงๆคนไหนที่รักพระเจ้า ก็รู้ไว้ได้เลยครับว่า สิ่งที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้เรา มันเกินกว่าที่เราจินตนาการไว้แน่ๆครับ
ที่สำคัญ บางช่วงขณะระหว่างทาง พระเจ้าอาจให้บางอย่างที่เราไม่ชอบ ระวังความรู้ของเราจะทำให้เราลำพองจนปฏิเสธวิถีทางของพระเจ้านะครับ เพราะ

“เรารู้ว่า ทุกสิ่งทำงานร่วมกันเพื่อการดีแก่คนที่รักพระเจ้า ผู้ซึ่งได้รับการทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์” (รม. 8:28)

วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2553

เพลงบทใหม่

วันนี้ไม่ได้จะเขียนถึงคริสตจักรแห่งหนึ่งที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในอเมริกา เป็นหนึ่งในไม่กี่แห่งที่มีลูกหลานของศิษยาภิบาลและคณะผู้ปกครองของคริสตจักรแบบเดิมไปอยู่ร่วมกันเยอะมาก โดยมีผู้ก่อตั้ง ชื่อ Dave Gibbon ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของ Rick Warren คนที่แต่งหนังสือ ชีวิตที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ นั่นแหล่ะครับ เรายอมรับว่า เราเป็นชุมชนคริสเตียนที่ค่อนข้างแนว อยากรู้ว่าแนวอย่างไรคงต้องไปดูเอง แต่คนบางลัทธิความเชื่อ เขาคงไม่มาดู เพราะเขามองว่าโบสถ์นี้เป็นพวกนิวเอจ ไม่เป็นไรครับ ท่านจะว่าอย่างไรก็ได้ ก็ท่านไม่เคยแม้แต่จะมาเหยียบนี่ครับ

เข้าเรื่องดีกว่า วันนี้จะมาคุยให้ฟังว่า การร้องเพลงบทใหม่ เกี่ยวข้องกับ การมีวิสัยทัศน์ อย่างไร

เพื่อความเข้าใจตรงกัน เราคงต้องมาคุยกัน เรื่อง วิสัยทัศน์ก่อน เพราะถ้าเราเห็นภาพของคำว่า วิสัยทัศน์ ไม่ตรงกัน คงคุยไปไม่ถึงเรื่องเพลงบทใหม่แน่

ก่อนอื่น ขอหยิบยก บางส่วนจาก บทความ “องค์กรปรนัย ตัวชี้วัด และวิสัยทัศน์เฉลี่ยแบบสมานฉันท์” จาก คอลัมน์ คิดสลับขั้ว ของ นายแพทย์ โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ ในนิตยาสารเวย์ (Way) ฉบับที่ 30 มาให้อ่านกันครับ

“...วิสัยทัศน์ที่ทำๆ กันตามองค์กรต่างๆ มีอยู่มากมายหลายแบบ แต่พอจะจัดประเภทได้เป็นกลุ่มๆ คือ วิสัยทัศน์แบบนายบ้าว่าตามนาย (นายไปเข้าคอร์สผู้บริหาร เกิดปิ๊งกับแนวคิดอะไรก็เอามาแต่งเป็นวิสัยทัศน์) วิสัยทัศน์แบบขอฮิตด้วยคน (ทุกองค์กรก็เลยอยากเป็นเลิศ และอยากเป็นระดับโลกกันหมด) วิสัยทัศน์แบบคำขวัญวันเด็ก (เน้นสัมผัสนอก-สัมผัสในให้คำคล้องจองเป็นหลัก) วิสัยทัศน์แบบศัพทานุกรม (เน้นการรวมเอาคำใหญ่ๆ ทั้งหลายที่ฟังดูดีมาแต่งเป็นวิสัยทัศน์)
กระบวนการได้มาซึ่งวิสัยทัศน์นั้น ส่วนใหญ่ก็พิกลพิการพอๆกับวิสัยทัศน์ที่ได้ ที่นิยมกันมากก็คือกระบวนการสร้างวิสัยทัศน์เฉลี่ยแบบสมานฉันท์...”

พอดีกว่าครับ สนใจหาอ่านเพิ่มเติมได้ตามแผงหนังสือคุณภาพ หรือ waymagazine.wordpress.com

ผมเคยเข้าใจว่า วิสัยทัศน์ คือ การมองเห็นภาพในอนาคตอย่างชัดเจน เป็นภาพสุดท้ายของเป้าหมายที่เราจะทำให้เกิดขึ้น พูดง่ายๆว่า อยากได้อะไร ก็ต้องเห็นในรายละเอียดว่าต้องทำอะไรบ้าง

แต่เมื่อไม่นานมานี้ ผมเข้าใจใหม่ว่า วิสัยทัศน์ หมายถึง การเห็นศักยภาพภายในที่อาจเป็นได้ และความเป็นไปได้ที่คนหรือสิ่งนั้น จะเกี่ยวข้องกับสิ่งอื่นอย่างไร พูดง่ายๆว่า เป็นการมองเห็นตัวตนที่แท้จริงของคน หรือ วัตถุประสงค์แท้จริงในการทรงสร้างสิ่งต่างๆ
หากเรามีวิสัยทัศน์ต่อสิ่งใด ก็จะสะท้อนออกมาทางความคิดและพฤติกรรมที่มีต่อสิ่งนั้น ส่งผลให้มุมมองและการปฏิบัติของเราต่อคนนั้น สิ่งนั้น หรือ แม้กระทั่งตัวเราเอง ถูกยกระดับขึ้นเหนือการตอบสนองจากภาวะปัจจุบันที่เป็นอยู่ ไปเป็นการตอบสนองตามภาวะที่แท้จริงๆ หรือ ที่อาจเป็นได้ หากมองจาก ณ ปัจจุบัน เช่น ถ้าเราเห็นน้องของเราเป็นผู้ใหญ่ แต่ทำตัวโยเย แทนที่เราจะดุให้เขาเลิกทำตัวโยเย เราก็จะพูดกับเขาดีๆว่า ทำตัวไม่สมกับที่เป็นเลย

การยกระดับทัศนคติและการปฏิบัตินี้ ส่งผลต่อการขยายขอบเขต ความคิด ชีวิต ความเชื่อ ส่งผลให้ โลกทัศน์เราได้รับการปรับเปลี่ยนใหม่ให้ขยายออก เห็นการเชื่อมโยงต่อกันระหว่างคนหรือสิ่งต่างๆมากขึ้น ช่วยให้เราเห็นพระเจ้ามากขึ้น รู้จักพระเจ้ามากขึ้น (อันที่จริง พระองค์ก็สำแดงพระองค์เหมือนเดิมอยู่แล้วนะ)

ช่วยให้เราเห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้ามากขึ้น... อย่ารีบเข้าใจผิดว่า หมายถึงการมีประสบการณ์ที่แสนล้ำลึกหวานชื่นดูดดื่มลึกซึ้งกับพระเจ้ามากขึ้นนะครับ พระเจ้าทรงทำพระราชกิจของพระองค์ (ในชีวิตผู้เชื่อแต่ละคน) เหมือนเดิม แต่ความเชื่อของเราต่างหาก ที่ช่วยให้เราเห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้ามากขึ้น

การมีประสบการณ์ใหม่ๆ ในความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ก็ช่วยให้เราแสดงการขอบพระคุณพระเจ้าด้วยการร้องเพลงบทใหม่ถวายพระองค์ได้ง่ายขึ้น

เพลงบทใหม่ จึงสะท้อนถึงชีวิตที่เติบโตขึ้นในความรักและการรู้จักพระเจ้าโดยตรง และชีวิตแบบนี้ ก็จะเห็นถึงวัตถุประสงค์ในการทรงสร้างสิ่งต่างๆมากขึ้น ก็จะช่วยให้เขามีวิสัยทัศน์ที่คมชัดขึ้น

ดังนั้น ปัญหาของการไม่มีเพลงบทใหม่ จึงไม่ใช่ว่าเกิดจากคนไม่มีประสบการณ์กับพระเจ้า (หรือข้อแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้นว่า ไม่รู้จะร้องอะไรบ้าง ร้องเพลงไม่เก่งบ้าง) แต่เกิดจากคนไม่รู้ตัวว่า ตัวเองมีประสบการณ์กับพระเจ้า ซึ่งมักเกิดจากการใช้กรอบความคิดของโลกหรือตัวเราเองในการใช้ชีวิต แทนที่จะใช้จิตใจของพระเจ้า (และผมบอกท่านได้เลยว่า บางคนที่บอกว่า ตัวฉันเองอ่านพระคัมภีร์ คิดตามพระคัมภีร์ เป็นผู้นำให้คำปรึกษาคนตามหลักการในพระคัมภีร์ คนเหล่านี้บางคนก็เพียงใช้ข้อความในพระคัมภีร์เพื่อกลบเกลื่อนความคิดแบบโลกของเขาเท่านั้น)

วิธีแก้ไขที่ง่ายที่สุด (แต่ไม่ทราบว่าจะถ่อมใจทำได้หรือเปล่า) คือ “การถ่อมใจ” เปิดใจอ่านพระคัมภีร์ เพื่อให้พระคัมภีร์อ่านเรา (ไม่ต้องมาพยายามเค้นว่าอ่านพระคัมภีร์แล้วได้อะไร) อธิษฐานตามพระคัมภีร์ซึ่งบันทึกไว้เป็นประสบการณ์โดยอ้อมเพื่อหนุนใจและท้าทายเรา ขอพระเจ้าให้เรามีประสบการณ์โดยตรงบ้าง เป็นเรื่องพื้นฐานของคริสเตียนทุกคนในการรู้จักพระเจ้า

ส่วนประเด็นเรื่อง พระคัมภีร์ฉบับไหนดีที่ถูกต้อง ไม่บิดเบือน ยังไม่ต้องกังวล เพราะพระเจ้าทรงเที่ยงแท้ และพระคัมภีร์เป็นพระคำของพระเจ้าผู้เที่ยงแท้จริง ย่อมเชื่อถือได้อย่างแน่นอน แต่หากเราคุยกับพระเจ้าโดยอ้างอิงคำพูดของพระองค์จากพระคัมภีร์ (หรือคำสอนของคริสตจักร ผู้ปกครอง ใครก็ตาม) แล้วพบความขัดแย้ง เราก็จะรู้ได้เองว่า ถ้อยคำนั้น ถูกบิดเบือน

เรื่องพระคัมภีร์ เราคงต้องใช้เวลาเพื่อจะรู้ได้เอง แต่ถ้าเป็นคำสอนของคน โดยเฉพาะคนที่บอกว่าตัวเองมีวิสัยทัศน์ ลองย่องไปฟังว่าเขาร้องเพลงบทใหม่กันบ้างหรือเปล่า แค่นี้ก็รู้แล้วว่ารู้จักพระเจ้าจริง หรือ แค่พูดอิงนิยาย