วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2552

พระเจ้าอวยพร! (whom God has blessed!)

เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา นั่งฟังเรื่องของโยเซฟ กับ มารี ที่นิวซอง
นึกถึงความรู้สึกของทั้ง 2 คน ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง
นึกถึงแรงกดดัน และความยากลำบากที่พวกเขาทั้งคู่อาจต้องเผชิญ

หลายคนเข้าใจว่า พระพรของพระเจ้า
หมายถึง ความราบรื่น ดูดี ร่ำรวย มีลูกหลานผลผลิตล้นหลาม
แต่ในอีกด้านหนึ่งซึ่งเขียนไว้ในพระคัมภีร์
แต่เรามักไม่ค่อยได้พูดถึงกัน
นั่นคือ ทุกสิ่งมีวาระ และเวลาของมัน
ทั้งอุปสรรค ปัญหา สถานการณ์ไม่เป็นใจ ความยากจน การขาดแคลน
และอีกมากมาย
เหล่านี้ล้วนเป็นพระคุณและพระพรของพระเจ้าทั้งสิ้น
ตราบเท่าที่เราเป็นประชากรของพระองค์

พระเจ้าอวยพรเรา เพราะเราเป็นลูกของพระเจ้า
ไม่ใช่ว่า
เพราะเรา "ทำ" อย่างที่พระเจ้าบอกไว้
แต่บุตรที่รู้จักบิดา เห็นบิดาทำอย่างไร
บุตรก็จะทำอย่างนั้น

ผมนึกถึงความยากลำบากที่เผชิญอยู่
นึกถึงบางคำพูดที่มีคนเคยพยายามจะบอกให้ผมเชื่อว่า
เพราะผมทำตัวไม่ดี พระเจ้าจึงไม่อวยพร
(ดังนั้น จงทำตัวให้(ดู)ดีซะ)

ผมนึกถึงรุ่นพี่คนหนึ่งที่รักกันมาก
เขาเคยเป็นผู้นำในคริสตจักรที่ผมเคยอยู่
เขาถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัย
เพราะการทุ่มเทให้กับสิ่งที่ เราถูกสอนให้เชื่อว่านั่นคือการรับใช้
นั่นทำให้เขาไม่เห็นด้วยกับนโยบายบางเรื่อง
พี่คนนี้ไม่ได้รับการโปรโมต และ ถูกลดตำแหน่งในที่สุด
เขาถูกมองว่าเป็นคนหลงหาย เป็นคนมีปัญหาความคิด
ถูกลงวินัยจากคริสตจักร
บทเรียนทุกเรื่องที่ผมเรียนกับพี่เขา
โดยเฉพาะที่เขาเขียนเอง ถูกห้ามไม่ให้เอาไปสอนต่อ
ทั้งที่บางเรื่อง จนทุกวันนี้ ผมยังไม่เห็นใครจะทำได้ดีเท่า

หลายปีผ่านไป
เขาไปอเมริกา หาทางจนได้ทุนเรียนต่อปริญญาเอก
เขาช่วยหลายคนให้ได้รู้จักพระเจ้า
เขาเป็นทีมบุกเบิกของการตั้งคริสตจักรที่นั่น

วันที่เขากลับมาเยี่ยมกรุงเทพ เขาแวะไปที่โบสถ์
เขาอยากเจอน้องๆที่เขาเคยดูแล
วันนั้น ศิษยาภิบาล กล่าวชื่นชมเขาบนเวที บอกว่า
พระเจ้าอวยพรเขามาก
หลังจากนั้น ใครต่อใครต่าง "อวย" เขาในทันที
ทั้งที่ ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา คนเหล่านี้บางคน
มีบางคนที่ยังพูดถึงเขาในทางไม่ดีอยู่เลย

เมื่อเร็วๆนี้ มีอีกคนหนึ่งโชว์ โครงการ ที่กำลังเริ่มต้นขึ้น
(หลังจากใช้เวลาเตรียมความพร้อมอยู่นาน)
มีคนเข้าไป "อวย" เกือบร้อยคน แต่เท่าที่ผมเห็น
มีเพียงพี่คนเมื่อกี้เพียงคนเดียว ที่กล่าวเรื่องจริงเตือนใจว่า
ชีวิตของคนคนนี้จะเปลี่ยนไป...

เวลาที่เราต้องทำอะไรในสิ่งที่เราเชื่อ
แม้มันจะดูขัดแย้งกับความคิดเห็น
ตรรกะ เหตุผล ความสมเหตุสมผล
ประสบการณ์ในอดีต
ขนบธรรมเนียม ประเพณี ค่านิยม
นโยบาย หรือแม้แต่กฎหมายของมนุษย์

นอกจากต้องตรวจสอบกับความจริง ความสมจริง และความจริงใจแล้ว
พึงตระหนักไว้เลยว่า ไม่มากก็น้อยที่เราจะต้องเจอกับแรงเสียดทาน
อาจเป็นทางกาย ทางจิตใจ ทางความคิด ทางจิตวิญญาณ
ทั้งในขณะที่รู้ตัว และไม่รู้สึกตัว

แต่หากเรามั่นใจแล้วว่า
เรากำลังรักพระเจ้า
เรากำลังทำตามความจริงของพระเจ้าที่มีอยู่ในพระคัมภีร์
เรากำลังทำตามเสียงที่อยู่ภายใน
เรากำลังใช้ชีวิตสอดคล้องกับพระเจ้าที่เรารู้จัก
ทีสำคัญ เราไตร่ตรองแล้วว่า
เราจะกล้าบอกพระเจ้าในวันสุดท้ายว่า ทำดีกว่านี้ไม่ได้แล้ว

แม้จะมีความกลัวและหวาดหวั่น (ซึ่งเป็นเรื่องปกติของขั้นตอนในการเติบโต)
แต่
จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด
เพราะพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเรา

จงรู้จักพระเจ้า
พระองค์เป็นพระเจ้าผู้ทรงเริ่มต้นสิ่งดีไว้ในชีวิตเราแล้ว
พระองค์จะเป็นผู้ทำให้เราเติบโต (ด้วยวิธีการของพระองค์ อย่างเฉพาะตัวสำหรับเรา)
พระองค์จะเป็นผู้นำพาเราไปถึงความสำเร็จ
(แต่หากมนุษย์อย่างเราเริ่มเอง ก็ไม่ต้องแปลกใจว่ามันจะพังทลายลงไป)

พระองค์จะไม่ละทิ้งเรา
ไม่มีใครหรือสิ่งใดเลย สามารถตัดขาดแยกเราออกจากพระเจ้าได้
แม้แต่ตัวเราเอง

จงรู้จักพระเจ้า แล้วความเชื่อของท่านจะเพิ่มพูนขึ้น
แล้วจะเกิดความปีติยินดีแก่จิตวิญญาณของท่าน


บุคคลผู้ใดต้องถูกข่มเหงเพราะเหตุความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าอาณาจักรแห่งสวรรค์เป็นของเขา
เมื่อเขาจะติเตียนข่มเหงและนินทาว่าร้ายท่านทั้งหลายเป็นความเท็จเพราะเรา ท่านก็เป็นสุข
จงชื่นชมยินดีอย่างเหลือล้น เพราะว่าบำเหน็จของท่านมีบริบูรณ์ในสวรรค์ เพราะเขาได้ข่มเหงผู้พยากรณ์ทั้งหลายที่อยู่ก่อนท่านเหมือนกัน
มัธธิว 5:10-12

แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้แก่ท่าน
มัธธิว 6:33