วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

to honour You...

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ไปร่วมงาน Pray & Worship Party by Newsong Bangkok
หลังจากอิ่มหมีพีมันแล้ว ระหว่างนมัสการ เพื่อนเราคนนึงที่ร้องเพลงอยู่บอกว่า ที่เราร้องเพลงว่า ขอถวายเกียรติแด่พระเจ้าในทุกสิ่งที่เราทำน่ะ เราทำอย่างนั้นจริงๆหรือเปล่า หรือแค่ร้องเป็นเพลงเท่านั้น ให้เราได้สำรวจชีวิตของเราด้วยกัน...

ซึ่งก่อนหน้านั้น เพลงหนึ่งที่เราร้อง มีประโยคหนึ่งที่บอกว่า You are the humble King...

ผมตระหนักมากขึ้นว่า มนุษย์อย่างเราๆ ไม่อาจพูดได้ว่า I'm good ดั่งเช่นที่พระเจ้าบอกเราว่า พระองค์นั้นดี
ความดีของเรานั้น ไม่ได้ขึ้นกับ การตะเกียกตะกาย ของเราในการ พยายาม ทำหรือไม่ทำสิ่งใด ให้ไปถึงพระองค์ หรือเป็นเหมือนพระองค์ได้ ต่อให้เราพยายามมากขนาดไหน เราก็ทำไม่ได้ เราไม่สามารถดีพร้อมจนปราศจากข้อตำหนิได้

ไม่ใช่การพยายามเหยียดตัวเองให้สูงขึ้น แต่คือการหยุด และยอมรับการช่วยเหลือด้วยความรัก และพระเมตตาของพระองค์
เพราะแท้จริงแล้ว พระเจ้าได้ทรงน้อมตัวเองลงมาหามนุษย์อย่างเราแล้ว พระองค์ได้ทรงมาเพื่อช่วยเราให้เป็นคนดีแล้ว

ดังนั้น คริสเตียน จึงไม่จำเป็นต้องพยายามทำดี หรือพยายามเป็นคนดี
เราไม่สามารถพยายามเป็นใครที่เราเป็นอยู่แล้วได้

การถวายเกียรติพระเจ้า จึงไม่ใช่การทำอะไร "เยอะๆ" เพื่อเชิดชูพระองค์ แต่เป็นการสะท้อนและส่งผ่าน "ชีวิตของพระองค์" ที่เราได้รับมาจากพระเจ้า เป็นการดำเนินชีวิตประจำวันปกติที่แตกต่างจากโลก

แตกต่าง... ไม่ใช่เพราะเราทำต่าง แต่เพราะตัวเราที่ต่าง
แน่นอน เพราะสิ่งที่เราเป็น ไม่ใช่เป็นของโลกนี้ หลายสิ่งที่เราทำจึงต่างจากโลกนี้โดยปริยาย
แต่ก็นั่นแหล่ะนะ สิ่งที่เราเป็นต่างหากที่สำคัญ

ขอพระเจ้าช่วยให้เรา...
หยุด ตะเกียกตะกายดิ้นรนพยายามเพื่อพระเจ้า
ยอม จำนนต่อความจริงและพระประสงค์ของพระเจ้า
รับ พระคุณและการช่วยเหลือจากพระเจ้า
รู้ ตัวเราเองเป็นใคร และพระเจ้าคือใคร
รัก พระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ กำลัง และความคิด

ให้เราได้มีประสบการณ์ส่วนตัว ในการถวายเกียรติแก่พระเจ้าในทุกสิ่งที่ทำ
และให้เราได้รู้จักความยินดี ที่พระองค์ประทานให้ เนื่องจากเราดำเนินชีวิตถวายเกียรติแด่พระบิดาของเรา

เอเมน เอเมน

วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ศิลามุมเอก

ศิลามุมเอก เป็นก้อนหินที่แข็งมาก แข็งจนเกินกว่าช่างก่อจะเอามาสกัดให้เป็นรูปร่างตามต้องการ เพื่อใช้ในการก่อสร้างได้
เพราะความแข็งเกินไปในสายตาของช่างก่อสร้างนี้แหล่ะ หินก้อนนี้จึงถูกทิ้งขว้าง

มองอีกมุมหนึ่ง หินแต่ละก้อนมีลักษณะที่แตกต่างกัน ไม่ใช่ทุกก้อนจะสามารถนำมาสกัดเพื่อใช้ก่อผนังได้ทั้งหมด
เปรียบเหมือนคนที่แตกต่างกัน
สำหรับคนบางคน คงยากไปที่จะหยิบเขามาก่อเป็นกำแพงของคริสตจักร

อาจเนื่องด้วยว่า เขาแข็งแรงเกินกว่าจะทำหน้าที่เป็นส่วนหนึ่งของกำแพง
อาจเพราะพระเจ้ามีพระประสงค์อันดี สร้างให้เขาแข็งแรง ให้เขาทนทาน เพื่อเขาจะทำหน้าที่เป็นผู้คำ้ยันกำแพงพระวิหาร
หากไม่มีศิลามุมเอก วิหารก็ไม่แข็งแรง และง่ายต่อการพังทลาย

ช่างก่อที่ไม่ยอมรับความจริง ยังดึงดันจะใช้ศิลาแบบนี้มาก่อผนังให้ได้
ยังคงพยายาม "สกัด" ทุกวิถีทาง เพื่อให้ได้ก้อนหินรูปร่างดั่งใจ
แม้จะทุ่มเทแรงทั้งตัวล้มทับเพื่อให้ศิลานั้นแตก ก็คงมีแต่ตัวเขาเองที่เจ็บตัว อาจถึงขั้นกระดูกหักได้ทีเดียว

กระนั้นก็ยังคงดีกว่า เพราะหาก ศิลาแบบนี้ตกทับผู้ใด คงไม่ใช่แค่เจ็บตัวเท่านั้น
พระคัมภีร์บอกว่า ถึงขั้นแหลกละเอียดกันเลยทีเดียว

แต่พระเยซูก็บอกเราไว้ด้วยแหล่ะนะ เมื่อวิหารที่สร้างด้วยมือมนุษย์พังลง พระองค์จะก่อขึ้นใหม่ภายใน 3 วัน...
ก่อขึ้นด้วยพระคุณของพระองค์ ณ ไม้กางเขนนั้น

เอ... วันนี้ ชีวิตของเราเป็นวิหารแบบไหนกัน สร้างด้วยน้ำมือมนุษย์ หรือถูกก่อขึ้นด้วยพระคุณของพระเจ้า

วันเสาร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

พระคุณพระเจ้า

ช่วงนี้อ่านพระธรรมลูกาอยู่ อ่านแล้วได้เห็นมุมมองใหม่ๆอะไรบางอย่าง เกี่ยวกับ "พระคุณของพระเจ้า" เลยนำมาแบ่งปันกัน

ลก.15
(1-7) แกะ ไม่เพียงเป็นสัตว์เลี้ยงพื้นฐานตามบริบทยิวสมัยนั้น (เหมือนการเลี้ยงควายในบ้านเรา) แกะเป็นสัตว์เศรษฐกิจ เป็นทรัพย์สินลงทุน และเป็นสิ่งหนึ่งในการแสดง ฐานะ ทางสังคม

(8-10) เงิน เป็นเครื่องยังชีพจำเป็นกับชีวิตประจำวัน แกะหายยังอยู่ได้ แต่เงินหายนี่อยู่ลำบาก พื้นฐานเรื่องทางกายภาพจะได้รับการกระเทือนไปหมด คล้ายๆกับ เวลาไม่มีเงิน แล้วเจอเหรียญสิบซักเหรียญบนพื้น ความรู้สึกจะคล้ายๆอย่างนั้น

(11-32) แต่กับหัวอกพ่อแม่ ลูกเป็นดั่งแก้วตาดวงใจ ยิ่งกว่าทรัพย์สินเงินทองมากนัก การได้ลูกกลับมาอยู่ด้วยกัน หลังจากที่ไม่ได้ยินข่าวคราว หรืออาจจะต้องเตรียมใจว่าลูกอาจตายไปแล้ว ความเปรมปรีดิ์จะมากล้นพ้นกว่าการได้แกะ ได้เงิน กลับคืนมาซักเท่าใด

สมบัติหาย เงินหาย ลูกหาย หากได้กลับมา มนุษย์ยังยินดี แต่หากมนุษย์ได้กลับสู่อ้อมอกของพระบิดาในสวรรค์ ชาวสวรรค์คงร่วมปรีดากับพระเจ้าอย่างล้นหลามทีเดียว
-----------------------------------------

ลก.16
(1-13) เมื่อมีคนร้องเรียนความผิด นายก็ไต่สวน แต่ระหว่างไต่สวนก็ไม่ให้ทำหน้าที่แล้ว คนต้นเรือน ก็ยังใช้ความฉลาดแบบโลก ใช้สมบัติของโลก เพื่อสำแดงพระคุณกับคนในโลก เพื่อให้เขายังสามารถดำเนินชีวิตอยู่ในโลกนี้ได้ แต่พระเยซูไปไกลกว่านั้น คือ ให้เราใช้สมบัติของโลก (อย่าไปใช้คำว่า สมบัติอธรรมนะครับ คงไม่ใช่่แค่งงและสับสนกับความหมาย แต่ยังจะอายเขาด้วย) ในการสำแดงพระคุณนำคนเข้าอาณาจักรสวรรค์

(19-31) พระเจ้าเองก็ปรารถนาให้เราสำแดงพระคุณต่อกัน ดั่งกรณีเศรษฐีและลาซารัส พระองค์ตรัสและสำแดงผ่านผู้เผยพระวจนะมาตลอด แต่เศรษฐีไม่เห็นความจำเป็น ครั้นเมื่อตายไป พระเจ้าก็ยังคงมีเมตตาเขาอยู่ แต่เขาเองก็ต้องรับผล ตามระบบความยุติธรรมของพระเจ้า ถึงเวลานั้น แม้พระเจ้ายังปรารถนาให้พระคุณกับเขาเหมือนเดิม แต่เขาเองกลับรับไม่ได้เสียแล้ว แม้เขาเองก็ปรารถนาจะรับพระคุณนั้นด้วยเช่นกัน
-----------------------------------------

ลก.17
(1-6) ถ้าใครทำผิดต่อเรา และเขากลับใจแล้ว มีพระคุณต่อเขา ให้อภัยเขาดีกว่า แม้จะผิดซ้ำผิดซาก แต่หากเขาบอกว่า "ฉันกลับใจแล้ว" ก็ต้องให้อภัยเขา พระเยซูเตือนแล้ว "จงระวังให้ดี" พระองค์คงรู้ว่า มันคงยากที่เราจะเชื่อ และง่ายที่จะตัดสิน ง่ายที่จะเผลอลืมให้พระคุณกับคนอื่นเปล่าๆง่ายๆ เหมือนที่เราได้รับมา

(7-10) แต่ถึงกระนั้น ก็ต้องแยกให้ชัดว่า อะไรคือ "พระคุณ" อะไรคือ "หน้าที่" จะมาอ้างว่า เป็นการประพฤติที่กอปรด้วยพระคุณไม่ได้ หากสิ่งนั้นสมควรประพฤติเนื่องจากเป็นหน้าที่ตามบทบาทของเรา

(11-19) หัวใจของการขอบคุณ จึงไม่ได้เกิดจาก "ความรู้" ว่าต้องทำอะไรเป็นการขอบคุณ แต่เกิดจาก "ความซาบซึ้ง" ในพระคุณ ซึ่งจะแสดงออกเป็นการกระทำที่บางครั้ง อาจดูแปลกตา ประหลาดใจผู้คนอยู่บ้าง
-----------------------------------------

สุดท้าย กับ ศักเคียส ใน ลก.19 ซึ่งน่าจะเป็นคนที่ดังมากในหมู่พี่น้องโบสถ์ความหวัง(เดิม) เพราะทุกคนที่ถูกสอนเรื่อง การกลับใจใหม่ มักไม่พ้นต้องพูดถึงคนๆนี้

(5) ผมถูกสอนว่า พระเยซูทรงรู้จักศักเคียสก่อน จึงเรียกชื่อเขาถูก แต่เป็นไปได้ไหม เนื่องจากศักเคียสเป็นคนดัง(2) และพฤติกรรมของเขาก็เด่นตา (ปีนขึ้นต้นมะเดื่อ) คนรอบข้างที่เห็นก็พูดถึงเขา พระเยซู อาจจะได้ยินชื่อเขาจากฝูงชนก็ได้
แต่สิ่งสำคัญ คือ พระองค์ทรงเห็นว่า ศักเคียส อยากเห็น อยากรู้จักพระองค์ พระองค์จึงทรงสำแดง "พระกรุณา" กับเขา ในการเข้าไปพักที่บ้านของเขา

(8) ผมถูกสอนว่า ศักเคียส ได้แสดงออกให้เห็นว่า เขากลับใจจริงๆ พระเยซูจึงพูดว่า(9) "วันนี้ความรอดมาถึงครอบครัวนี้แล้ว" แต่หากถอยกลับขึ้นไปอ่านข้างบน(7) เป็นไปได้ไหมว่า เสียงบ่นของคนทั้งหลายนั้นดังมากจนเข้าหูของศักเคียส เขาคงเกิดความละอายใจ สำนึกได้ และเกิดความตระหนักถึงความไม่สมควร ที่พระเยซูจะมาประทับกับเขา ให้เสื่อมเสียพระเกียรติ

ผมถูกสอนว่า ศักเคียสกลับใจอยู่ก่อนแล้ว จึงแสวงหา(3-4) และยินดี(6) อีกทั้ง ประกาศความตั้งใจอย่างชัดเจน(8) ในการดำเนินชีวิต ให้เราเอาเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตว่ากลับใจใหม่จริง แต่วันนี้ ผมกลับคิดอีกแบบหนึ่ง ผมคิดว่า ศักเคียส ไม่ได้กลับใจอยู่ก่อนแล้ว(2) การบอกอาชีพและฐานะของเขาในพระคัมภีร์ ชี้ให้เห็นโดยนัยว่า (ครับ ผมตีความเอง) ศักเคียสเป็นคนบาปแน่ ซึ่งยืนยันได้จากสายตาของคนทั้งหลาย(7) ความยินดีของศักเคียส(6) เป็นความยินดีตามวิสัยของคนทั่วไป ที่ได้หน้าเมื่อคนดังมาพักกับตน หรืออาจเป็นไปได้ที่เขาจะได้คุยกับคนดัง ผมคิดว่า แรกเริ่ม ศักเคียสไม่ได้มองว่า พระเยซูเป็นใคร มากไปกว่าคนมีชื่อเสียงที่ประชาชนพูดถึงมากคนหนึ่งเท่านั้น

การกลับใจใหม่ของศักเคียส จึงน่าจะเกิดขึ้นหลังจากที่เขาได้ยินคนทั้งหลายบ่นว่า พระเยซูมาพักกับคนบาป แล้วเขาได้แสดงออกถึงท่าทีในการกลับใจใหม่นั้นด้วยคำพูดว่าเขาจะทำอะไร(8) เพื่อให้สมกับพระเกียรติของพระเจ้า ซึ่งพระเยซูเองก็ได้ชมเชยเขา และยืนยันว่าเขากลับใจแท้ ได้รับความรอดแล้ว(9-10)

ประเด็น คือ พระเยซูทรงสำแดงพระคุณ กับผู้ที่ไม่สมควรได้รับ ส่งผลให้ บุคคลนั้น เกิดความละอาย สำนึกได้ แล้วนำไปสู่การกลับใจใหม่จากจิตใจและความคิดของเขาเอง จน "คิดได้" ว่าตนสมควรทำสิ่งใดเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้าผู้ทรงมีพระคุณกับเรา

นอกจากนี้ ผมยังถูกสอนด้วยว่า แม้มีเส้นทางเข้าเยรูซาเล็มได้หลายทาง แต่พระเยซูทรงรู้ล่วงหน้าว่าจะมาพบศักเคียส (ด้วยว่าพระองค์เป็นพระเจ้าผู้ทรงสัพพัญญู) จึงเลือกเส้นทางผ่านเมืองเยรีโค... แค่สงสัยเฉยๆว่า ความคิดนี้ เป็นการช่วยเสริมความเป็นพระเจ้าให้กับพระเยซู มากกว่าที่พระคัมภีร์บรรยายไว้หรือไม่ แม้จะเป็นไปได้ แต่ไม่มีพระคัมภีร์กล่าวไว้ชัดๆ เป็นการเติมช่องว่างของเหตุการณ์ให้เต็มด้วยอคติแห่งความคิดที่หวังดีของเราหรือเปล่า แล้วถ้าอย่างนั้น... จะมีเรื่องอื่นๆอีกไหมที่เป็นแบบนี้ ซึ่งทำด้วยความหวังดีแต่ขาดความเข้าใจที่จริงแท้

ขอพระเจ้าทรงโปรดสำแดงพระคุณให้ตัวผมเองและเราทุกคนได้เห็นพระเยซูคริสต์อย่างถูกต้อง ผู้เป็นความจริงของพระเจ้าซึ่งโปรดสำแดงไว้แล้วในพระคัมภีร์ มากขึ้นทุกวันต่อวันด้วยเถิด เอเมน